หนีเมืองกรุงไปนอนดูดาวรับลมหนาวที่ “ดอยอ่างขาง-เชียงดาว”
Share
เมื่อชีวิตในเมืองมันชั่งวุ่นวายและเต็มไปด้วยมลพิษ การได้ออกไปพักผ่อนสูดอากาศดี ๆ พร้อมรับลมหนาวท่ามกลางธรรมชาติที่สวยงามก็น่าจะดีไม่น้อย ดังนั้น MOVER นำเสนอทริปสุดชิล ตะลุยสองยอดดอยไปนอนดูดาวพร้อมรับลมหนาวกันแบบเต็มสตรีม
ดอยอ่างขาง และดอยหลวงเชียงดาวคือสถานที่ที่เราจะไปกันในทริปนี้ โดยใช้ระยะเวลาสั้น ๆ เพียง 3 วัน 2 คืน เรียกได้ว่าคนทำงานก็แอบหนีไปเที่ยวกันได้ในวันหยุดสุดสัปดาห์ จากจุดเริ่มต้นเราเดินทางโดยสายการบินแอร์เอเชียจากสนามบินดอนเมืองไปถึงสนามบินนานาชาติเชียงใหม่ในช่วงสาย ๆของวันเสาร์ จากนั้นก็ใช้วิธีการเช่ารถเพื่อเดินทางขึ้นดอยกันทันที ข้อดีของการเช่ารถคือเราสามารถหยุดแวะได้ทุกที่ที่เราต้องการ แต่ก็ต้องใช้ความชำนาญด้วยเช่นกัน หรือใครที่เป็นสาบบู๊สักหน่อย จะเลือกเช่ามอเตอร์ไซต์แทนก็ได้เช่นกัน
ที่เราเลือกดอยทั้งสองแห่งนี้ก็เพราะมันอยู่เส้นทางเดียวกัน ไม่ต้องวกไปวนมาให้เปลืองแรงและเวลา ที่สำคัญคือสามารถเห็นดาวชัดเจนไม่แพ้ยอดดอยอื่น ๆ เลย และยอดดอยแรกที่เราจะไปพิชิตก็คือ “ดอยอ่างขาง” ตั้งอยู่ที่อำเภอฝาง มีความสูงถึง 1,928 เมตร มีจุดเด่นอยู่ที่ดอกนางพญาเสือโคร่งสีชมพูที่จะผลิบานอยู่ตลอดสองข้างทาง รวมถึงสถานที่น่าสนใจอีกมากมายเช่น ไร่สตรอว์เบอร์รี่นอแล ไร่ชาสองพันไร่ พรมแดนไทย-ลาว หมู่บ้านขอบด้ง และสถานีเกษตรหลวงอ่างขาง ซึ่งเราใช้เวลาเดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ประมาณ 2 ชั่วโมงเพื่อไปถึงบริเวณตีนดอย จากนั้นจึงเริ่มต้นแวะพักตามจุดชมวิวต่าง ๆ
หลังจากชมวิวและแวะตามจุดต่าง ๆ จนพอใจแล้ว เราก็มุ่งหน้าไปที่จุดกางเต้นบ้านขอบด้ง ซึ่งเป็นจุดที่ว่ากันว่าสามารถชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัดเจนที่สุด โดยด้านบนก็จะมีบริการเต๊นท์และอุปกรณ์การนอนให้เช่า พร้อมห้องอาบน้ำรวมแยกขายหญิงด้วยเช่นกัน โดยเวลาประมาณสามทุ่มขึ้นไปท้องฟ้าก็จะเริ่มมืดสนิทจนสามารถมองดูดาวบนฟ้าได้อย่างชัดเจน หากใครเตรียมเสื่อมาด้วยก็สามารถปูนอนหน้าเต๊นท์ชมท้องฟ้าและดวงดาวได้อย่างเต็มอิ่มตลอดทั้งคืน
ปกติแล้วพระอาทิตย์จะเริ่มขึ้นบนยอดดอยอ่างขางที่เวลาประมาณ 7 โมงเช้า ดังนั้นเราแนะนำให้ตื่นมาล้างหน้าแปรงฟันเตรียมตัวให้พร้อมก่อนจะดีกว่า หากดูพระอาทิตย์ที่จุดชมวิวบ้านขอบด้งจะต้องเสียค่าเข้าอีก 20 แต่ถ้าใครที่พอมีแรงเหลือ จะเลือกเป็นเส้นทางที่อยู่สูงขึ้นไปอีกก็ได้ เมื่อชมพระอาทิตย์ขึ้นเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราก็ยังสามารถไปดูทะเลหมอกพร้อมชมบรรยากาศของไร่ชาขั้นบันไดได้อีกที่บริเวณ ไร่ชาสองพันไร่ หรือจะแวะเก็บสตรอว์เบอร์รี่จากไร่ของชาวบ้านบนดอยก็สนุกไปอีกแบบ
หลังจากใช้เวลาข่วงเช้าบนดอยอ่างขางไปแล้ว เราก็ต้องเก็บของเตรียมความพร้อมเพื่อไปพิชิตยอด “ดอยหลวงเชียงดาว” หรือ ที่หลายคนเรียกสั้น ๆ ว่า “เชียงดาว” กันต่อได้เลย โดยย้อนลงจากดอยอ่างขางมากสักเล็กน้อยก็จะเจอเส้นทางแยกเพื่อไปยังอำเภอเชียงดาว MOVER ต้องบอกเลยว่าเส้นทางที่เราจะไปนั้นถึงจะยาวไกลสักหน่อย แต่วิวที่คุณจะได้เห็นนั้นคุ้มยิ่งกว่าคุ้ม! โดยเฉพาะที่ “จุดชมวิวซุยถัง” นับเป็นจุดที่เรายกให้เป็นที่สุดของทริปนี้เลยทีเดียว
หลังจากใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชั่วโมงในการเดินทางผ่านอำเภอเชียงดาวมาถึงบริเวณดอยหลวงเชียงดาว เส้นทางนั้นไม่นับว่าโหดเท่ากับตอนขึ้นดอยอ่างขาง แต่ถ้าวัดระยะความสูงกันแล้ว ดอยหลวงแห่งนี้มีความสูงถึง 2,275 เมตร ถือเป็นยอดดอยที่สูงเป็นอันดับที่ 3 ของประเทศไทยรองลงมาจากดอยอินทนนท์และดอยห่มปก โดยในวันนี้เราจะได้เช่าจุดกางเต๊นท์กึ่งโฮมสเตย์ที่มีชื่อว่า ระเบียงดาว เอาไว้ ซึ่งที่นี่ก็มีอุปกรณ์การนอนให้พร้อมทั้งฟูกนอน หมอน ผ้าห่มและห้องน้ำส่วนกลาง
ถือว่าเป็นโชคดีของ MOVER มาก ๆ ที่ในวันนี้ฟ้าเปิดโล่งไม่มีเมฆมาบังสายตา ทำให้ในตอนกลางคืนนั้นสามารถเห็นดาวบนท้องฟ้าได้แบบเต็ม ๆ รวมถึงบรรดาฝนดาวตกอีกนับไม่ถ้วนที่ทยอยล่วงหล่นลงมาให้เราได้ชมกันตลอดทั้งคืน ถือเป็นบรรยากาศที่หาไม่ได้อย่างแน่นอนในเมืองที่มีแต่ความวุ่นวาย และเมื่อถึงเวลาพระอาทิตย์ขึ้นเราก็สามารถชมวิวกันได้แบบชัด ๆ ไม่มีอะไรมาบดบัง พร้อมรับประทานข้าวต้มร้อน ๆ ตอนเช้าที่หน้าเต๊นท์กันได้เลย
หากใครที่ชอบในการเดินเขาชมวิวข้างทาง ดอยหลวงเชียงดาวก็มีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้นักท่องเที่ยวทุกคนได้ลุยกันด้วยเช่นกัน ถือเป็นอีกทางเลือกที่จะได้เห็นวิวใหม่ ๆ ไม่ซ้ำใคร และบริเวณทางขึ้นดอยก็ยังมี ถ้ำเชียงดาว ไว้สำหรับไว้พระขอพรและเดินชมภายในถ้ำได้อีกเช่นกัน
จากนั้นจึงเดินทางกลับเข้าตัวเมืองเพื่อเตรียมตัวเดินทางกลับกรุงเทพกันได้เลย หรือถ้าใครที่ยังพอมีเวลาเหลืออยู่ จะเดินเล่นหาซื้อของฝากที่กาดหลวงหรือแวะดื่มกาแฟชิล ๆ ที่คาเฟ่บนถนนนิมานเหมินทร์ก่อนกลับก็ไม่ว่ากัน
ถือเป็นอีกหนึ่งทริปก่อนจะหมดปีที่น่าประทับใจมาก ๆ สำหรับ MOVER ซึ่งเราก็หวังว่าบทความนี้อาจจะเป็นแรงบรรดาลใจทุกคนได้ออกไปใช้เวลากับตัวเองและธรรมชาติ พักเบรกจากความวุ่นวายและแสงสีในเมืองใหญ่สักครั้งในรอบปี เพื่อเป็นการฟื้นฟูและเติมเต็มส่วนที่ขาดไประหว่างหนึ่งปีที่ผ่านมา
บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER
mover.in.th@gmail.com