เก่าแต่เก๋า! ทำความรู้จักมนต์เสน่ห์ รถคลาสสิค ที่ไม่ได้มีดีแค่ความคลาสสิค
Share
รถคลาสสิค เป็นอีกหนึ่งยนตรกรรมที่ถึงแม้จะถูกปิดผ้าคลุมจากแบรนด์ผู้ผลิตมานานนับทศวรรษ แต่เชื่อหรือไม่ว่ายังมีแฟน ๆ สายรถคลาสสิคหลายคน ที่ยังคงความชื่นชอบ คลั่งไคล้ ไม่เสื่อมคลาย หรือบางคนถึงขั้นที่จะนำเงินเก็บของตัวเองมาซื้อรถคลาสสิคเหล่านี้แทนการออกรถใหม่ป้ายแดงเลยทีเดียว จากดีไซน์ที่ย้อนยุคประกอบกับความชอบส่วนตัวของหลายๆ คน จึงทำให้รถคลาสสิคเหล่านี้ยังคงโลดแล่นอยู่บนถนน และเกิดธุรกิจจำหน่ายขึ้นมา ดังนั้นเราขอพาทุกคนย้อนยุคกลับไปดูรถคลาสสิครุ่นยอดฮิตที่ในปัจจุบันยังมีการซื้อ-ขายกันในกลุ่มของคนที่ชื่นชอบกันว่ามีรุ่นอะไรกันบ้าง
อยากซื้อความคลาสสิคเริ่มต้นอย่างไร?
สำหรับคนที่อยากซื้อความ Classic ด้วยการมีรถยนต์ย้อนยุคไว้ในครอบครองสักคันนั้น จุดเริ่มต้นของเส้นทางนี้ไม่ยากเลยครับ ขอเพียง… มีเงินเท่านั้น! อ่านไม่ผิดหรอกครับ เพราะจุดเริ่มต้นก็คือคุณต้องเก็บเงินให้ได้มากพอที่จะซื้อมันนั่นเอง ต้องเข้าใจก่อนว่าการที่เราต้องการนำรถยุกเก่ามาซ่อมบำรุงให้มีประสิทธิภาพเทียบเคียงรถที่วุ่นกันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ดังนั้นค่าใช้จ่ายตั้งแต่เริ่มซื้อตัวบอดี้ ค่าซ่อมแซม ปรับปรุง และบำรุงรักษานั้นก็ต้องใช้งบประมาณที่เยอะกว่ารถในยุคปัจจุบันเป็นเรื่องธรรมดา
เมื่อเงินเราพร้อมแล้ว ขั้นตอนต่อมาคือการออกไปหาพาร์ทเนอร์คู่ใจสักคันมาขับไปไปไหนมาไหนคุ้มค่ากับที่ลงทุนลงแรงกันไป แต่! จะเลือกซื้อรถได้จากที่ไหนกันละ? นี่คงเป็นคำถามยอดฮิตจากมือใหม่ทุกคน ซึ่งเราจะแบ่งการซื้อออกเป็น 2 วิธีดังนี้…
- ซื้อแบบมือสองสภาพสวย : เป็นทางเลือกที่คนส่วนมาก 90% ขึ้นไปนิยมทำกัน เพราะเราไม่ต้องมานั่งหาอู่ซ่อม หาอะไหล่ให้วุ่นวาย สามารถจ่ายเงิน แล้วขับรถออกไปได้เลย แต่ก็อย่าลืมตรวจสอบรถยนต์ก็ซื้อกันด้วยนะครับ เพราะบางครั้งถ้าโชคร้ายเจอคนขายที่ไม่ซื่อสัตย์ แล้วเขาเห็นว่าเราไม่มีความรู้เรื่องนี้ดีพอ ก็อาจจะโดนโกงได้
- ซื้อแบบมือสองสภาพพัง : วิธีนี้ส่วนมากจะเป็นผู้ที่มีงบน้อยและไม่อยากเสียเงินเยอะในตอนแรก หรือไม่ก็เป็นนายช่างที่สามารถซ่อมบำรุงอะไหล่บางอย่างได้เอง ยิ่งถ้าใครมีแผนที่จะโมดิฟายเจ้ารถคันโปรดให้เท่ไปอีกขั้น แล้วด้วย วิธีนี้เลือกซื้อรถเก่ามาซ่อมมาแต่งเพิ่มเติมเองก็จะตอบโจทย์กว่า
ข้อควรทำก่อนซื้อรถคลาสสิค
นอกจากจะต้องเก็บเงิน และเลือกซื้อรถแล้ว มีปัจจัยอื่น ๆ อีกหลายข้อเลยทีเดียว ที่อยากจะแนะนำเพิ่มเติมให้กับคนที่กำลังสนใจหรือใกล้ที่จะไปรถที่ชอบกันไว้เป็นข้อคิดครับ
- วางแผนทั้งก่อนและหลัง : อย่างที่ได้เกริ่นไปแล้วว่าเรื่องของการดูแล-รักษา เป็นเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก นอกจากเรื่องของงบประมาณแล้ว การที่เราวางแผนหาอู่ประจำ หรือช่องทางการสั่งอะไหล่ไว้แต่ต้น จะช่วยให้เราอุ่นใจตลอดเวลาที่ขับขี่เจ้าเพื่อนซี้ได้ตลอดเส้นทาง
- รู้จักเพื่อนเราให้มากกว่าเดิม : นอกจากหาโรงพยาบาล (อู่รถยนต์) และอวัยวะ (อะไหล่) เตรียมไว้ให้เพื่อนซี้เราแล้ว การที่เรารู้จักเขาให้มากขึ้นกว่าเดิมในเรื่องของการดูแลรักษาด้วยตนเอง ก็ยิ่งช่วยให้ทั้งตัวเราและเขาอยู่กันไปได้นานมากยิ่งขึ้น ดังนั้นเราควรศึกษาข้อมูลการใช้งานให้ดี รวมทั้งการดูแลบำรุงรักษาด้วยตนเอง ก็จะยิ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของเขาออกไปได้
รถคลาสสิคราคาแพงที่สุดในโลก
เชื่อว่าหลายคนน่าจะมีรถรุ่นที่ถูกใจเป็นการส่วนตัวกันอยู่แล้ว แต่เพื่อไม่ให้ตกเทรนด์หรือพลาดอะไรไป ขอพาทุกคนไปส่องดูราคารถคลาสสิกในระดับโลกกันซะหน่อย ว่าตอนนี้มีรุ่นไหนบ้าง ที่มีราคาซื้อขายกันแพงเป็นอันดับโลกไปแล้ว
No. 3 | Bugatti Royale
เป็นรถที่สร้างขึ้นในปี 1930 ทำกำลังได้สูงสุด 300 แรงม้า วิ่งได้เร็วสูงสุด 160 km/h โดยรถคันนี้เป็นหนึ่งในรถของครอบครัว Bugatti immured ซึ่งในสมัยนั้นเป็นยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยพวกเขาได้ซ่อนรถคันนี้ไว้ภายในฝาผนังบ้าน ก่อนที่พวกนาซีจะค้นเจอและยึดไปไว้ที่กองทัพ ต่อมาในปี 1950 ได้มีนักแข่งรถสาว Briggs Cunningham ทำการซื้อต่อมาด้วยราคา $3000 และนำมาไว้ที่พิพิธภัณฑ์รถของเธอเอง จนถึงปี 1986 พิพิธภัณฑ์ของเธอต้องปิดตัวลง เธอจึงนำมาประมูลขาย และมีการซื้อขายต่อๆ กันมาจนเมื่อปี 2001 ทางบริษัทประมูลเอกชน Bonhams & Brooks ได้ทำการขอซื้อต่อด้วยราคา 10 ล้านยูโร
No. 2 | Ferrari 250 GTO
รถยนต์ที่ถูกสร้างขึ้นในยุคสมัย 1962 โดยมาพร้อมเครื่องยนต์ V12 ขับเคลื่อนล้อหลัง ทำความเร็วได้สูงสุดถึง 280 กม./ชม. เลยทีเดียว ในปี 2008 ได้มีผู้ไม่ประสงค์ออกนามขอซื้อต่อจากเจ้าของด้วยราคาสูงถึง 28 ล้านยูโรเลยทีเดียวจึงกลายเป็นรถคลาสสิคราคาแพงเป็นอันดับสองในโลกตอนนี้
No. 1 | Bugatti Type. 57SC
รถยนต์คลาสสิคที่แพงที่สุดในโลกตอนนี้ โดยมีเพียง 3 คันเท่านั้นในโลก Bugatti type 57SC ถูกสร้างขึ้นโดย Ettore Bugatti ชาวอิตาลีในปี 1936 วางเครื่องยนต์ขนาด 210 ลิตร ที่สามารถทำความเร็วได้สูงสุดถึง 200 กม./ชม. ต่อมาในปี 1971 ได้ถูก Peter Williamson ซื้อต่อมาในราคา $59,000 และถือครองเป็นเจ้าของเรื่อยมา จนถึงปี 2010 Peter Mullin ได้ทำการประมูลมาในราคา 38 ล้านเหรียญ และได้นำจัดแสดงที่พิพิธภัณฑ์ Mullin ใน Oxnard California คู่กับ Bugatti รุ่นอื่นๆ จนถึงปัจจุบัน