ถึงแม้ตอนนี้จะเข้าสู่ช่วงฤดูปลายฝนต้นหนาวแล้ว ‘HydroPlan’ อาการเสี่ยงที่อาจทำให้ผู้ใช้รถใช้ถนนนเกิดอุบัติเหตุถึงขั้นร้ายแรงได้ จะมีโอกาสเกิดขึ้นได้น้อยลง เพราะสาเหตุส่วนใหญ่มักมาจากฝนตก แต่… ก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาสเกิดขึ้นเลย และยิ่งตอนนี้กำลังเข้าใกล้ช่วงวันหยุดยาวอย่างเทศกาลวันขึ้นปีใหม่ด้วยแล้ว หลายคนน่าจะมีแพลนเดินทางออกสู่ต่างจังหวัด ดังนั้นเพื่อป้องกันก่อนที่จะสายเกินไป เลยอยากพาเพื่อนๆ ชาว Mover ทุกคนไปรู้จักกับ ไฮโดรแพลน อาการยอดฮิตที่เสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุของคนรักขับรถโดยเฉพาะสายซิ่ง ที่ควรรู้จักไว้เป็นอย่างดีกันสักหน่อย
#What’s HydroPlan ?
ไฮโดรแพลน คือ อาการที่หน้ายางของล้อรถยนต์เกิดการไม่สัมผัสกับผิวถนนเพราะเกิดอาการการเหินน้ำ ซึ่งสาเหตุมาจากการ ‘ความเร็ว’ (Speed) ของรถยนต์ ที่ผู้ขับขี่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงที่มากพอจะทำให้หน้ายางของรถเกิดอาการเหินน้ำ หรือสัมผัสแค่ผิวหน้าของน้ำไม่ได้สัมผัสไปถึงพื้นผิวของถนน จึงทำให้ตัวรถเกิดอาการเหมือนเหาะได้เมื่อขับผ่านถนนบริเวณที่มีน้ำท่วมขังหรือเกิดแอ่งน้ำ ซึ่งอาการแบบนี้ไม่ใช่เรื่องดีหรือเท่เพราะรถเหาะได้แต่อย่างไร เพราะการที่ตัวรถเหาะขึ้นมาจากผิวถนนในขณะที่มีแรงพุ่งไปข้างหน้าด้วยความเร็วที่เราขับมา จะทำให้ผู้ขับควบคุมรถไม่ได้ เพราะหน้ายางไม่ได้สัมผัสกับผิวถนน และยิ่งถ้าหากรถของคุณขับเคลื่อนด้วยสองล้อเท่านั้นด้วยแล้ว ก็อาจเสี่ยงต่อการหลุดถนนจนเกิดอุบัติเหตุรุนแรงต่างๆ ตามมาได้
#การแต่งรถช่วยได้ไหม?
เมื่อรู้จัก ไฮโดรแพลน แล้วหลายคนอาจคิดว่าอาการแบบนี้ ถ้านำรถไปแต่งด้วยการโหลดเตี้ยลงหน่อย ใส่สตรัทเทพๆ จัดยางชั้นดีอีกสักชุดก็น่าจะป้องกันได้ ตอบเลยว่าไม่ได้!! ครับ ถึงแม้ยางรถยนต์จะมีส่วนช่วยให้เกิดอาการไฮโดรแพลนได้น้อยลงหรือลดลง แต่ก็ใช่ว่าจะช่วยทำให้โอกาสการเกิดอาการเท่ากับศูนย์เลย รวมไปถึงอุปกรณ์ชุดแต่งขั้นเทพต่างๆ ด้วยเช่นกัน ที่ถึงแม้พอนำเข้าไปในตัวรถยนต์แล้วจะเกิดสมรรถนะการขับขี่ที่ดีขึ้นจากของเดิมจากศูนย์แบบเห็นได้ชัด แต่สิ่งเหล่ายืนยันได้ว่าไม่อาจช่วยทำให้โอกาสการเกิดไฮโดรแพลนมีเท่ากับศูนย์แต่อย่างไร เพราะฉะนั้นถ้าคุณจะยอมลงทุนเงินจำนวนหลายหมื่น เพื่อทำให้รถของตัวเองขับสนุกมีสมรรถนะที่ดี ไม่รบกวนผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ ก็ทำไปได้เลยครับ แต่ถ้าจะทำเพื่อแก้อาการเหินน้ำอย่างไฮโดรแพลนไม่ให้เกิดขึ้นเลย อย่าทำ!!
#ป้องกันได้อย่างไร?
สำหรับการป้องกันที่ง่ายที่สุดและไม่ต้องใช้เงินสักบาท รวมทั้งยังปลอดภัยต่อตัวเอง ครอบครัว และผู้ใช้รถใช้ถนนคนอื่นๆ คือ การที่ขับรถด้วยความเร็วไม่สูงมากและถูกต้องตามกฏหมาย โดยความเร็วที่ปลอดภัยและทำให้โอกาสการเกิดไฮโดรแพลนมีน้อยที่สุดคือ ความเร็วในการขับขี่ไม่เกิน 60 Km/H แต่ถ้าคุณรู้สึกว่าขับด้วยความเร็วแบบนี้กว่าจะถึงที่หมายคงจะช้าไป ก็แนะนำว่าขยับขึ้นมาเป็น 90 – 100 Km/H ก็ได้เพียงแต่! คุณอาจต้องมีสติในการขับขี่อยู่ตลอดเวลา รู้จักหลบหลีกหรือชะลอความเร็วเหมือนรู้สึกว่าข้างหน้าน่าจะมีแอ่งน้ำหรือพื้นผิวถนนมีน้ำท่วม และแนะนำนว่า ก่อนออกเดินทางควรเช็คสมรรถนะการขับขี่ของตัวรถยนต์ให้มั่นใจก่อน โดยเฉพาะยางรถยนต์ทั้งเรื่องของลมยางและตัวยางรถว่าเสื่อมประสิทธิภาพแล้วหรือยัง
#ยางรถยนต์ที่ดีก็ช่วยได้ในระดับหนึ่ง
นอกจากการแนวทางการป้องกันตามข้อข้างบนแล้ว การเลือก ‘ยางรถยนต์’ ดีๆ ที่มีประสิทธิภาพในการขับขี่บนถนนเปียกได้ดีเยี่ยมมาใช้งาน ก็สามารถช่วยลดโอกาสการเกิดอาการเหินน้ำลงได้เช่นกัน เพราะยางรถยนต์ที่มีประสิทธิภาพและสมรรถนะที่เหมาะกับการขับขี่บนถนนเปียกนั้น นอกจากผู้ผลิตจะใส่เทคโนโลยีด้านยางรถยนต์ที่เหมาะสมมาให้แล้ว ยังมีการออกแบบร่องดอกยางที่หน้ายางเป็นแบบพิเศษ ทำให้หน้ายางลดการสะสมของน้ำขณะวิ่งให้น้อยลง ส่งผลให้เกาะพื้นผิวถนนได้ดีไม่ต่างจากการวิ่งงอยู่บนถนนแห้งตลอดเวลา
#หากเกิดแล้วควรทำอย่างไร?
จริงๆ อย่างบอกไม่เกิดจะดีที่สุด แต่ถ้าเกิดแล้วจะทำอย่างไร? ถ้าหากคุณขับรถอย่างระมัดระวังแล้วแต่ดันเกิดอาการไฮโดรแพลนขึ้นมา อย่างแรกเลยคุณต้องมีสติอย่าพึ่งตกใจจนควบคุมตัวเองไม่ได้ ให้มองทางข้างหน้าว่าข้างทางเป็นอย่างไร มีรถหรือไม่ เมื่อทุกอย่างโอเคก็ให้คุณลดความเร็วของรถลงด้วยการผ่อนคันเร่ง และควบคุมรถยนต์ให้เข้าชิดขอบข้างทางหรือพื้นที่ที่คิดว่าปลอดภัยแน่นอน และอย่าเหยียบเบรคอย่างรุนแรงเป็นอันขาด! เพราะนั้นอาจทำให้ตัวรถเกิดอาการสะบัด ซึ่งจะยิ่งทำให้หลุดออกจากถนนเร็วขึ้น