คงเป็นที่ทราบกันดีว่า Ristr8to เป็นร้านกาแฟคุณภาพชื่อดังในย่านนิมมานเหมินทร์ จังหวัดเชียงใหม่ และล่าสุด “ต๋อง อานนท์ ธิติประเสริฐ” เจ้าของร้านหนุ่มสุดเท่ได้คว้าแชมป์จากการประกวด World Latte Art Championship 2017 ที่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี มาการันตีคุณภาพของร้านกาแฟให้มากขึ้นไปอีก
เมื่อเดินเข้ามาในร้าน เราสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่อบอุ่นและเป็นกันเอง พร้อมการต้อนรับอย่างดีจากพนักงานของทางร้าน หลังจากนั้นเราก็ได้พบกับบาริสต้าแชมป์ ลาเต้อาร์ต คุณต๋อง อานนท์ ที่ลงมือทำกาแฟให้เราได้ชิมกันสด ๆ
THE BEGINNING OF BARISTA
ระหว่างการทำกาแฟได้มีการพูดคุยถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาได้เข้ามาอยู่ในวงการคนรักกาแฟ ตอนไปเรียนภาษาอังกฤษอยู่ที่ประเทศออสเตรเลีย คุณต๋องมีโอกาสได้ทำงานกับร้านกาแฟ Jack Hanna แชมป์โลกลาเต้อาร์ตปี 2007 และนั่นเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เขาเริ่มสนใจและหลงใหลในการทำ ลาเต้อาร์ต เขาจึงเริ่มศึกษาวิธีการต่าง ๆ นานาทั้งจาก Youtube และลงคอร์สเรียนอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีโอกาสได้เปิดร้านเป็นของตัวเอง แต่เขาก็ต้องตัดสินใจขายร้านเพราะว่ากาแฟขายได้น้อยกว่าอาหาร
ก่อนจะกลับมาเมืองไทย เขาเลือกที่จะลองลงสนามแข่งขันลาเต้อาร์ตของประเทศออสเตรเลีย เพื่อเป็นการลองเชิงลีลาและความสามารถในการชงกาแฟ และได้เริ่มแข่งขันอย่างจริงจังมากขึ้นที่เมืองไทย พร้อมทั้งได้เป็นตัวแทนประเทศไทยไปแข่งขันระดับโลก และก็ไม่ผิดหวังเลย คุณต๋องคว้ารางวัลที่ 6 ในปี 2011 และรางวัลที่ 5 ในปี 2015 นั่นทำให้เห็นว่าความสามารถของเขาพัฒนาขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง
WORLD LATTE ART CHAMPIONSHIP 2017
หลังจากพูดคุยกันพอหอมปากหอมคอ คุณต๋องได้เล่าถึงความพิเศษในการแข่งขันที่ผ่านมา นอกจากคว้ารางวัลแชมป์โลกมาครองแล้ว เขายังเป็นคนแรกที่ได้คะแนนสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ของการแข่งขันลาเต้อาร์ตระดับโลกอีกด้วย โดยคะแนนทั้งหมดจะอยู่ที่ 6 คะแนน ในเวลา 11 ปีที่ผ่านมายังไม่เคยมีใครทำคะแนนได้เต็ม แต่บาริสต้าคนนี้ทำได้และกลายเป็นความภาคภูมิใจของประเทศไทยในการก้าวเข้าสู่วงการลาเต้อาร์ตระดับโลกอย่างเป็นทางการ
MOVER : ไอเดียลาเต้อาร์ต “Story in the Wood Under the Full Moon Light” ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไร
“หลักๆ คืออยากจะสร้างรูปที่ทุกคนชอบ เวลาเราเสิร์ชรูปในอินเตอร์เน็ต รูปสัตว์ที่เจอหลักๆ จะเป็นพวกนกฮูก จิ้งจอก แมว กระต่าย กวาง เสือ สิงโต ฯลฯ แต่ว่ารูปเสือกับสิงโตเคยมีคนเอาไปทำแล้ว ฉะนั้นตัวเลือกมันก็เลยจำกัด ผมอยากจะทำรูปที่ไม่เคยมีใครเอามาทำลาเต้อาร์ต ด้วยความจำกัดของตัวเลือกและวิธีการแบบ Free Pour (การเทนมให้เกิดเป็นลวดลายโดยไม่ใช้ตัวช่วยอย่างอื่นมาเสริม) สุดท้ายมันก็เลยออกมาเป็นลายพวกนี้ เราก็เลยสร้างเรื่องราวให้ทุกตัวมันเชื่อมโยงกัน แล้วก็ถ่ายทอดออกมาผ่านแก้วกาแฟในแต่ละแก้ว
“เราไม่ได้ทำแค่ลาเต้อาร์ต เราสร้างเรื่องราวขึ้นมาเรื่องหนึ่งแล้วแสดงคาแรคเตอร์ให้กรรมการเห็น”
“เรื่องราวประมาณว่า มีกระต่ายเหงา มีกวางที่เป็นเพื่อนกระต่ายเดินผ่านมา กระต่ายดีใจจึงกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้ แล้วก็มีสุนัขจิ้งจอกผ่านมาเข้าร่วมกลุ่ม แล้วหอยทากก็จะเป็นตัวที่เห็นทุกอย่างเลยอยู่ข้างบนสุดของต้นไม้ รูปมันเชื่อมโยงกันหมด ทุกอย่างที่เราทำมาก็เพื่อให้ได้คะแนนเยอะที่สุดในการแข่งขัน”
MOVER : สิ่งที่ท้าทายที่สุดของการแข่งขันในครั้งนี้คืออะไร
“ความท้าทายที่สุดคือการชนะใจตัวเองนี่แหละครับ เพราะทุกครั้งที่แพ้มันมาจากการแพ้ใจตัวเอง”
“มันปีแรกที่ได้เข้ารอบ 6 คนสุดท้าย มันรู้สึกพอแล้ว รอบชิงก็เลยเละเทะไปหมด ปีที่ผมได้ที่ 5 ก็เป็นเพราะว่าผมซ้อมมาไม่พอ มีความมั่นใจเรื่องรูป แต่คะแนนเรื่องเทคนิคกลับได้น้อย ครั้งนี้มันคือการชนะใจล้วน ๆ เลยครับ เราเลยลองทุ่มทุกอย่างในการแข่งขันครั้งนี้ ตลอด 6 เดือนในการเตรียมตัว ผมจะไม่คิดเรื่องอื่นเลย ก็คือตั้งเป้าเป็นสเต็ปขึ้นบันได เราจะต้องเป็นแชมป์โลกให้ได้ แล้วพอเราไปถึงตรงหน้างาน มันจะไม่เหมือนกับการทำในร้าน กาแฟไม่เหมือนกัน นมไม่เหมือนกัน เครื่องทำกาแฟก็ไม่เหมือนกัน เราก็ต้องใช้ทุกอย่างที่เราเตรียมตัวมาแก้ไขสถานการณ์ ณ เวลานั้นให้มันผ่านไปได้ ตรงนี้ก็เป็นสิ่งท้าท้ายสำหรับผม”
MOVER : นอกจากการไปแข่งขันที่ฮังการีแล้ว ยังทราบมาว่าได้เดินทางไปตุรกีกับกรีซมาด้วย เป็นมายังไงถึงได้ไปที่นั่น
“คือนอกจากการแข่งแล้ว ผมตั้งใจไปประเทศอื่น ๆ อยู่แล้วครับ แต่ไปครั้งนี้มันยังขาดไปบางประเทศ เวลาไปแข่งผมจะโชคดีตรงที่ว่าได้ไปแข่งโซนยุโรป ก็อยากไปดูว่าแต่ละเมืองมันเป็นยังไง เวลาเราไปมาเยอะ ๆ เราจะได้รู้ว่าเราอยู่ตรงไหน เราจะได้รู้ว่าตอนนี้กาแฟของเชียงใหม่มันอยู่ระดับไหนของกาแฟโลก เวลาที่ผมบอกกับชาวต่างชาติ ผมพูดได้เต็มปากว่าเชียงใหม่คือหนึ่งในเมืองที่ดีที่สุดของกาแฟ แต่ถ้าเกิดไม่มีหลักฐานมันก็เหมือนกับพูดปากเปล่า เราก็เลยยืนยันด้วยการไปแข่งระดับโลก ยิ่งไปมาเยอะเราก็ยิ่งสามารถบอกเขาได้ว่ามันดีกว่ายังไง”
MOVER : ช่วยเล่าเกี่ยวกับมิตรภาพที่เกิดจากการแข่งขันให้เราฟังหน่อย
“ผมเคยไปแข่งด้วยกันกับ Michalis Karagiannis ที่ประเทศเกาหลี แล้วเราทั้งคู่ตกรอบพร้อมกันก็เลยสนิทกัน ผมว่าการแข่งมันสนุกตรงที่ว่าลาเต้อาร์ตมันเห็นได้ด้วยตาเปล่า แล้วอีโก้ของแต่ละคนมันจะน้อยกว่าการแข่งบาริสต้า สุดท้ายทุกคนก็เป็นเพื่อนกัน ก็สนิทกับทุกคนในนั้นที่มาแข่ง แล้วก็สนิทกับ Jervis Tan ที่มาจากสิงคโปร์ คนนี้เคยแข่งด้วยกันในปี 2015 เขาก็อยากจะเก่งแบบเรา แต่เขาเป็นคนที่ไม่มั่นใจในตัวเองแบบสุด ๆ ผมก็จะคอยบอกเขาว่าอยากให้เขาเชื่อใจตัวเอง ตอนที่เขาเข้ารอบ ผมดีใจยิ่งกว่าผมเข้ารอบเองอีก แล้วก็มี Nick Vink ที่เป็นชาวเนเธอร์แลนด์ที่สนิทกัน มันสนุกมากที่เราได้เข้ารอบไปด้วยกัน ได้แชร์ประสบการณ์ ได้เพื่อนใหม่ ๆ แล้วยังเป็นการให้ทุกคนมารู้จักเชียงใหม่เยอะขึ้นด้วย”
MOVER : ปีนี้ได้แชมป์โลกมาครองแล้ว ปีหน้าวางแผนไปแข่ง World Latte Art Championship อีกไหม
“ผมคิดว่าปีหน้าจะให้น้องไปแข่งดู เพราะผมคิดว่ามันมีความเป็นไปได้ อย่างผมได้แชมป์โลก มันคือจุดสูงสุด เลยมองว่ามันเป็นไปได้”
MOVER : แล้วคาดหวังว่าจะได้รางวัลอะไรบ้าง
“คือตอนนี้อยากให้น้องได้แชมป์ของประเทศไทยก่อน แล้วค่อยไปแข่งระดับโลก แต่ก็หวังว่าอย่างน้อยคือติด 1 ใน 6 ของโลก”
MOVER : ถ้าเปรียบชีวิตตัวเองในปี 2017 เป็นกาแฟ คิดว่าเป็นกาแฟชนิดไหน เพราะอะไร
“เป็นคำถามที่ค่อนข้างตอบยากนะ ผมคิดว่าคงเป็น กาแฟเกอิชา ปานามา เพราะว่า เป็นกาแฟที่กำลังอยู่ในกระแสในตอนนี้ อย่างที่เวลาแข่งบาริสต้าหรือแข่งบริวเวอร์ (Brewer) เขาก็ใช้เมล็ดกาแฟนี้ เป็นกาแฟที่อยู่ในระดับท็อป 6 ของโลก เหมือนตอนนี้เราเป็นแชมป์โลก เราสามารถทำให้ประเทศไทยเข้ามาอยู่ในกระแสโลกได้”
MOVER : ถ้าตอนที่อยู่ที่ออสเตรเลียไม่ได้บังเอิญมาทำร้านกาแฟ คิดว่าตอนนี้ตัวเองน่าจะทำอะไรอยู่
“น่าจะเล่นดนตรีตามผับมั้งครับ เหมือนเป็นความฝันตอนเด็ก ๆ ด้วย ตอนเรียนอยู่มหา’ลัยก็เล่นกีตาร์ เวลาที่แข่งดนตรีเหมือนกับการแข่งกาแฟเลย คือเขาจะเอา 6 วงเข้ารอบชิงเหมือนกันเลย ทุกครั้งที่แข่ง เราติด 6 วงสุดท้ายแล้วเราก็หยุด เหมือนมันพอใจอยู่แค่ตรงนั้น แล้วรอบชิงก็จะทำห่วยตลอด ไม่เคยไปถึง 1 ใน 3 เลย จะหยุดแค่ที่ 4 บ้าง ที่ 5 บ้าง”
MOVER : สุดท้ายอยากฝากอะไรถึงคนรุ่นใหม่ที่อยากจะเดินทางสายนี้บ้าง
“ก็อยากให้เชื่อมั่นในตัวเอง แต่ว่าก็ต้องรู้ตัวเองด้วย ตั้งแต่วันแรกที่ผมเริ่มทำลาเต้อาร์ตมันไม่มีภาพของแชมป์โลกอยู่ในหัวเลย เพราะเรารู้ว่ารูปที่ทำมันยังไม่สามารถไปถึงจุดนั้นได้ เรารู้ว่าเราอยู่ ณ ตรงไหน เราก็พัฒนาตนเองมาเรื่อย ๆ แก้ไขข้อผิดพลาดมาเรื่อย ๆ ด้วยรูปแบบนี้ เทคนิคแบบนี้ การนำเสนอแบบนี้ แล้วพอมาถึงจุด ๆ หนึ่งเราจะต้องเป็นที่หนึ่งของโลกด้วยคะแนนที่เป็นประวัติศาสตร์ของโลก”
“ผมเลยอยากให้ค่อย ๆ เดินไปทีละก้าว ต้องรู้ตัวเอง แล้วก็มีความมั่นใจ แล้วก็ต้องเปิดใจ เพราะมันเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะคนที่เก่งแล้วมันก็จะมีอีโก้ ก็จะไม่ฟังใคร ผมว่าเราต้องตัดตรงนี้ออกไปให้ได้ แล้วสุดท้ายก็ต้องซ้อมเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด เพราะไม่ว่าเราจะเก่งยังไง ในแต่ละแก้วที่ทำมันก็จะมีข้อผิดพลาดแน่ ๆ ต่อให้ผมได้แชมป์โลกมา ก็ไม่ได้หมายความว่าทุก ๆ แก้วที่ผมทำมันจะไม่มีข้อผิดพลาด เราต้องพยายามทำให้ มันใกล้เคียงร้อยเปอร์เซ็นต์ให้ได้มากที่สุด ต้องมี Passion กับสิ่งที่ทำอยู่ แล้วก็อย่ายอมแพ้ครับ”
ตลอดชั่วโมงที่ได้พูดคุยกับคุณต๋อง ทุกประโยคที่เขาพูดเกี่ยวกับลาเต้อาร์ต ดวงตาของเขาจะเป็นประกายจนเราสามารถสัมผัสได้ถึงความหลงใหลที่เขามีต่อกาแฟของเขา และด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเทจึงทำให้เขาได้ก้าวเข้ามาถึงจุดสูงสุดของวงการลาเต้อาร์ตได้อย่างภาคภูมิใจ
และนี่ก็เป็นบทสัมภาษณ์จาก ต๋อง อานนท์ ธิติประเสริฐ แชมป์คนล่าสุดจากเวที World Latte Art Champion 2017 หากใครสนใจอยากลองชิมกาแฟระดับโลกสามารถแวะเข้าไปได้ที่ร้าน Ristr8to และ Ristr8to Lab ได้เลย รับรองว่าคุณจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นอย่างแน่นอน
Facebook : facebook.com/ristr8to
Instagram : @ristr8to
Website : www.ristr8to.com