รับมือหน้าฝนด้วย 7 เทคนิคไม่ลับการดูแลรถยนต์คันโปรดให้สวยรับมือฝน

เข้าสู่ฤดูฝนเต็มตัวแบบนี้ เรื่องของการ ‘ดูแลรถยนต์’ ก็เป็นอีกสิ่งที่หนุ่ม ๆ หลายคนไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยให้รถยนต์คันเก่งของเราดูสวยเด่นท้าฝนแล้ว ยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการขับขี่ให้มีความปลอดภัยตลอดเส้นทางการเดินทางให้มากขึ้นด้วย และครั้งนี้เราก็มีเทคนิคดีๆ ในการดูแลรักษารถยนต์คันโปรดให้ดูสวยไปพร้อมกับเพิ่มสมรรถนะการขับขีในช่วงหน้าฝนนี้มาฝากกัน ไม่ว่าจะมือใหม่ มือเก่า สามารถนำไปใช้ได้ง่าย ๆ แน่นอน

# 1 | เคลือบสีรถยนต์

เริ่มกันที่เทคนิคง่ายๆ ในการดูแลรถยนต์ ที่เชื่อว่าหลายคนน่าจะรู้จักหรือเคยได้ยินกันมาพอสมควรกับการเคลือบสีรถยนต์ ซึ่งในปัจจุบันนอกจากการเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ในกลุ่มของ WAX เพื่อนำมาเคลือบปกป้องสีรถยนต์แล้ว ยังมีตัวเลือกใหม่เพิ่มขึ้นมาให้เป็นตัวเลือกในการดูแลปกป้องสีรถยนต์ได้ดีขึ้น อย่างการเคลือบแก้วหรือเคลือบเซรามิก ที่ใช้คุณสมบัติของสารผลึกแก้วซิลิก้า (SiO2) มาช่วยปกป้องสีรถยนต์ด้วยผลึกแก้วหนาขนาด 8-9H (ประมาณ 35 ไมครอน)  ทำให้มีความทนทานต่อสภาวะแวดล้อมที่เลวร้ายต่างๆ ได้ดีกว่าผลิตภัณฑ์เคลือบสีแบบ WAX ที่ส่วนมากจะเลือกใช้ไขมันจากพืชตระกูลปาล์ม (Carnuba) มาใช้เป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ปกป้องสีรถได้เพียง 1-2 อาทิตย์เท่านั้น แต่มีข้อดีคือ เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และทำให้ตัวสีรถดูฉ่ำเยิ้มมากกว่าการใช้สารสังเคราะห์ รวมทั้งมีราคาที่ถูกกว่าการเคลือบแก้วถึงสองเท่า

ส่วนการเคลือบแก้วนั้น ด้วยโครงสร้างของสารที่นำมาใช้คือผลึกแก้ว ทำให้มีความหนาของชั้นสีมากกว่าการเคลือบสีด้วย Wax จึงทนต่อสิ่งแวดล้อมต่างๆ ได้สูง ไม่ว่าจะเป็นเศษฝุ่นละอองที่เป็นต้นเหตุของรอยขนแมวจากการปลิวมากระทบกับตัวสีรถยนต์ขณะขับได้ดี รวมทั้งยังมีคุณสมบัติ Hydrophobic ที่ทำให้หยดน้ำกลายเป็นเม็ดกลม (เหมือนน้ำที่หยดใส่ใบบัว) ช่วยผ่อนแรงในการดูแลรักษาสีรถยนต์ในช่วงหน้าฝนเป็นอย่างมาก เพราะน้ำจะไหลออกจากสีรถยนต์ได้ทันทีขณะขับรถ ทำให้ลดการเกิดรอยคราบน้ำที่ยากต่อการขัดออกได้ ดังนั้นการเคลือบสีรถจึงเป็นสิ่งแรงที่ควรทำเมื่อเข้าสู่หน้าฝน

# 2 | เคลือบกระจก

การเคลือบกระจกเป็นอีกสิ่งที่หลายคนมองข้าม เพราะส่วนมากมองว่าเรามีที่ปัดน้ำฝนอยู่แล้ว ดังนั้นจะเคลือบไปทำไม แต่จริงๆ แล้วการเคลือบกระจกในช่วงหน้าฝนแบบนี้ จะช่วยให้เรามองเห็นทัศนวิสัยในการขับขี่ได้ดียิ่งกว่าตอนไม่เคลือบ โดยเฉพาะเมื่อต้องขับรถผ่านบริเวณที่มีฝนตกหนักมากๆ เพราะลำพังใช้เพียงที่ปัดน้ำฝนอย่างเดียวนั้น บอกได้เลยว่าช่วยอะไรได้ไม่มาก ซึ่งหลายคนน่าจะพบเจอกันบ่อยอยู่แล้ว ที่พอฝนตกหนักๆ ที่ปัดน้ำฝนเบอร์ 3 ก็เอาไม่อยู่ ทำให้ต้องชิดซ้ายและขับช้าๆ หรือหาที่พักรถเพื่อรอให้ฝนซาลง แต่ถ้าเราเคลือบกระจกมาจะช่วยแก้ปัญหานี้ได้ในระดับหนึ่ง เพราะเมื่อน้ำฝนหยดใส่กระจก น้ำฝนจะกลายเป็นเม็ดหยดน้ำกลม ๆ วิ่งไปมา และเมื่อโดนแรงลมที่วิ่งเข้าใส่ตัวรถขณะขับอยู่ก็จะไหลปลิวออกไปได้ไวและดีกว่า ทำให้รีดน้ำออกจากการกระจกได้มากว่า เพราะมีแรงลมช่วยด้วยนั่นเอง

# 3 | เคลือบล้อแม็กและ (แก้ม) ยาง

นอกจากการเคลือบสีและกระจกแล้ว การเคลือบล้อแม็กและยางก็ช่วยเพิ่มสมรรถนะการขับขี่รถยนต์ในช่วงหน้าฝนได้เหมือนกัน ซึ่งเชื่อว่าเป็นสิ่งที่หลายคนอาจยังไม่ทราบเพราะอาจคิดว่า ล้อกับยางแทบจะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการขับขี่ของเราได้มากเท่าสองข้อข้างบน แต่รู้หรือไม่ว่าขณะที่เราขับรถนั้นล้อและยางรถยนต์ เป็นเพียงส่วนเดียวของรถยนต์ทั้งคันที่แตะพื้นถนน รวมทั้งขณะที่เราเลี้ยวรถหรือควบคุมรถนั้น แก้มยางและล้อแม็กจะรับน้ำหนักของรถด้วย ดังนั้นการที่เราเคลือบ (แก้ม) ยางด้วยน้ำยาเฉพาะจะช่วยให้น้ำไม่เกาะ และเพิ่มประสิทธิภาพในการรีดน้ำออกจากยางรถยนต์ขณะขับขี่ได้เป็นอย่างดี รวมไปถึงการเคลือบล้อแม็กด้วย ที่ประโยชน์ส่วนมากอาจจะเป็นเรื่องของการลดภาระเมื่อต้องล้างรถจากสิ่งสกปรกต่างๆ ที่เข้ามาติดขณะขับรถลุยฝน

# 4 | ใบปัดน้ำฝน

หัวใจหลักของการขับขี่รถยนต์ในช่วงหน้ามรสุมแบบนี้เลยก็ว่าได้ สำหรับใบปัดน้ำฝนที่ช่วยทำให้เรามีทัศนวิสัยขณะขับรถลุยฝนได้ชัดเจน ดังนั้นการตรวจเช็คความพร้อมของที่ปัดน้ำฝนโดยเฉพาะตัวยางใบปัดน้ำฝนก็เป็นอีกสิ่งที่จำเป็นและต้องทำก่อนออกเดินทาง เพราะถ้าหากยางใบปัดน้ำฝนหรือที่ปัดน้ำฝนอยู่ในสภาพเสื่อมหรือไม่พร้อมทำงาน อาจทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุขณะขับขี่ได้เลยทีเดียว เนื่องจากใบปัดไม่สามารถไล่ฝนได้ดี จนทำให้เรามองไม่เห็นทางได้ไม่ชัดเจนนั่นเอง เพราะฉะนั้นหากที่ปัดน้ำฝนของใครที่เริ่มมีเสียงขณะปัด หรือรู้สึกว่ารีดน้ำได้ไม่ดี ยังเหลือน้ำอยู่เยอะขณะปัดก็จัดการเปลี่ยนซะก่อนที่จะไม่มีโอกาส

# 5 | ควรล้างรถหลังจากลุยฝนหนัก

เป็นอีกเรื่องความเชื่อที่หลายคนอาจยังเข้าใจผิดอยู่ว่าไม่ควรล้างรถเมื่อเข้าสู่หน้าฝน เพราะเดียวพอฝนตกน้ำฝนก็จะล้างคราบสกปรกออกไปให้เอง หรือไม่ก็เดียวล้างเสร็จขับออกไปฝนก็ตกใหม่อยู่ดี บอกได้เลยว่าสิ่งเหล่านี้เป็นความเชื่อที่ผิด! เพราะเมื่อเราขับรถลุยฝนมาถึงบ้านตัวรถยนต์จะเกิดการสะสมของคราบสกปรกต่างๆ รวมไปถึงเม็ดฝุ่นละอองที่ปลิวมาเกาะกับน้ำที่ตัวรถ ซึ่งทั้งสองสิ่งนี้ เป็นสาเหตุของการเกิดรอยคราบน้ำ (Water Spot) บนสีรถยนต์ และยิ่งถ้าทิ้งไว้นานก็จะยิ่งเอาไม่ออก สุดท้ายอาจถึงขั้นต้องทำสีใหม่เลยทีเดียว หรือบางคนที่พอถึงบ้านแล้วฉีดน้ำล้างรถอย่างเดียวก็บอกเลยว่าไม่ต่างจากการไม่ฉีดเลย ดังนั้นแนะนำว่าเมื่อขับรถลุยฝนมาถ้าหากมีโอกาสหรือมีเวลาว่าง ก็ควรที่จะล้างรถและเคลือบสีอย่างน้อยสัปดาห์ละครั้งก็ยังดี

# 6 | ไม่ควรขับรถลุยน้ำ (สูง)

ชีวิตในเมืองกรุงแบบนี้ หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับสภาพถนนที่มีน้ำรอการระบายอยู่หลายที่ ซึ่งหลายคนก็อาจไม่มีทางเลือกมากนักจึงทำให้ต้องตัดสินใจขับรถลุบฝ่าน้ำไปทั้งแบบนั้น ถ้าว่ากันตามจริงแล้วก็สามารถทำได้ครับ เพียงแต่รถยนต์แต่ละคันจะมีขีดความสามารถในการขับฝ่าระดับน้ำรอการระบายที่แตกต่างกันไป เพราะถ้าหากคุณขับรถฝ่าน้ำไปโดยที่เกินขีดจำกัดของระดับน้ำที่รถยนต์จะฝ่าไปได้ ก็จะทำให้มีโอกาสเสี่ยงสูงที่น้ำจะไหลเข้าเครื่องยนต์ และทำให้เกิดอาการเครื่องน็อคและดับติดเกาะอยู่กลางน้ำก็เป็นได้ ซึ่งระดับน้ำที่รถทุกคันทุกชนิดสามารถขับผ่านไปได้สบาย ๆ คือ ระดับน้ำที่สูงประมาณครึ่งล้อ ถ้าสูงกว่านี้นิดนึงก็ยังสามารถขับผ่านไปได้ เพียงแต่แนะนำว่าให้ปิดเครื่องปรับอากาศเพื่อไม่ให้พัดลมตีน้ำเข้าสู่ห้องเครื่องนั่นเอง

# 7 | มีสติ คือ เทคนิคที่ดีที่สุด

สำหรับเทคนิคสุดท้ายที่นำมาฝากกันก็คือ เรื่องของการมีสติ เพราะไม่ว่าคุณจะเตรียมพร้อมหรือเตรียมรถยนต์มาดีแค่ไหน ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันขึ้นมาแล้วคุณไม่มีสติ เพื่อควบคุมสถานการณ์ต่างๆ ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ทุกอย่างก็จบครับ! ดังนั้นแนะนำว่าขณะขับขี่รถยนต์ ควรตั้งสติและมีสมาธิอยู่กับถนนอยู่ตลอดเวลาขณะขับรถเดินทาง และต้องพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าหากรู้ว่าเราต้องขับรถทางไกลหรือต้องขับรถ เพื่อลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุที่เกิดจากการหลับได้นั่นเอง

ทั้งหมดนี้ก็เป็น 7 เทคนิคง่ายๆ สำหรับการดูแลรักษารถยนต์ในช่วงหน้าฝนที่กำลังเผชิญอยู่ตอนนี้ ที่ตั้งใจนำมาฝากหนุ่มๆ ชาว Mover ทุกคนกัน ซึ่งก็หวังว่าจะช่วยให้ทุกคนดูแลรถยนต์คันโปรดให้สวยเด่น และขับขี่กันด้วยความปลอดภัยขณะเดินทางกันทุกคนครับ และอย่าลืมมีสติและมีน้ำใจบนท้องถนน เพื่อลดอุบัติเหตุที่อาจเกิดได้ตลอดเวลาด้วยนะครับ


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com