Google Assistant เชื่อว่าหลายคนน่าจะเริ่มได้เห็นหรือได้ยินคำนี้กันบ่อยมากขึ้น เพราะในช่วงที่ผ่านมา Google Assistant ได้เริ่มเข้ามามีบทบาทกับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟน Android OS มากขึ้นเรื่อยๆ ในฐานะ “ผู้ช่วยอัจฉริยะ” หรือ “AI” เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ที่ทาง Google ได้ส่งมาให้ช่วยดูแล และเป็นเพื่อนรู้ใจให้กับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของผู้ใช้งานบน Device ของ Google ทุกชนิด
และจากความสามารถที่ถูกพัฒนาเพิ่มเข้ามาในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้กูเกิ้ลแอสซิสแทนต์ได้รับคำชมเป็นอย่างมากว่า เป็นระบบ AI สั่งการด้วยเสียง ที่ฉลาดล้ำไปกว่า “Siri” ผู้ช่วยจากฝั่ง Apple ที่นับเป็นระบบ AI บุกเบิกบนสมาร์ทโฟนรุ่นแรกๆ ไปเรียบร้อย แล้วอะไรกันที่ทำให้ กูเกิ้ลแอสซิสแทนต์ เป็นเช่นนั้น และอาจกลายเป็นระบบ AI แห่งอนาคตจริง ๆ เราไปหาคำตอบพร้อมรู้จักผู้ช่วยคนนี้ ที่ตอนนี้พูดไทยได้แล้วไปพร้อม ๆ กันครับ
What’s Google Assistant?
Google Assistant เป็นระบบ AI ที่สั่งการด้วยเสียง พัฒนาขึ้นมาโดย Google ซึ่งเป็นการต่อยอดมาจาก Google Now หนึ่งในระบบ AI สั่งการด้วยเสียงของกูเกิ้ล ที่เคยปล่อยให้ใช้งานกันใน Android OS เวอร์ชั่น 5.1 เป็นต้นมา แต่เนื่องจาก Google Now ยังเป็นเพียง AI หง่อยๆ ที่มีขีดจำกัดหลายอย่าง ทางกูเกิ้ลจึงพัฒนาและใส่เทคโนโลยีหลายอย่างลงไปจนเกิดเป็น Google Assistant ในที่สุด สำหรับหลักการทำงานของกูเกิ้ล แอสซิสฯ นั้น จะทำงานก็ต่อเมื่อเราออกคำสั่งเสียงให้กับระบบ AI ทาง AI จึงนำไปประมวลผลด้วย Algorithm เพื่อค้นหาคำตอบให้กับเราจากฐานข้อมูลที่มากนับล้านล้านของ Google
Being a True Assistant
ใครที่ใช้งาน iPhone iPad หรือ iDevice ที่รองรับการใช้งาน “Siri” คงจะทราบดีว่า บางครั้ง “Siri” ก็เป็นเพียงผู้ช่วยที่ทำได้เพียงเป็นเพื่อนคุยแก้เหงาเท่านั้น เพราะสั่งอะไรไปก็ทำเป็นงงใส่ตลอด หรือไม่ก็ตอบด้วยคำตอบกวน ๆ กลับเท่านั้น รวมทั้งบางครั้งเราก็เขิลที่จะพูดสั่งการอะไรกับ Siri ในที่สาธารณะ จริงไหม? ดังนั้นสุดท้ายแล้ว ผู้ใช้ iDevice หลายคนก็ทำได้แค่ลืมๆ ไปซะว่ามี Siri เป็นผู้ช่วยอยู่บนเครื่อง
แต่กลับกันด้วยความแข็งแกร่งด้าน Data ของ Google จึงทำให้กูเกิ้ลแอสซิสฯ สามารถเข้าใจในสิ่งที่เราต้องการ พร้อมทั้งยังสามารถเข้าไปค้นหาข้อมูลจากฐานข้อมูลหลายล้านข้อมูลของ Google เพื่อหาคำตอบกลับมาให้เราได้ นอกจากนี้ทาง Google ยังได้ใส่ “Conversation Actions” ที่ทำให้ตัว AI ของกูเกิ้ลโต้ตอบกับเราได้อย่างเป็นธรรมชาติ และสมเหตุสมผล เช่น เมื่อเราสั่งการว่า “เรียก Uber ให้หน่อย” ตัวแอปพลิเคชั่น Uber ก็จะถูกเรียกใช้งานจากบนสมาร์ทโฟนให้ทันที หรือถ้าไม่ได้ติดตั้งไว้ ก็จะไปเรียกผ่านอินเทอร์เน็ตให้ ซึ่งเมื่อเปิดแอปฯ ขึ้นมาแล้ว ก็จะถามต่อเลยว่า จะไปที่ไหน อยากได้รถแบบไหน เป็นต้น
The Power of Open System
ด้วยการพัฒนาทุกอย่างภายใต้ระบบเปิดของ Google จึงทำให้เหล่านักพัฒนาจากภายนอกเข้ามาร่วมพัฒนา จนทำให้ตัวระบบเติบโตได้อย่างรวดเร็ว และนำไปสู่การบูรณาการ (Eco System) รวมกับเทคโนโลยีนวัตกรรมต่างๆ ได้อย่างไร้ขอบเขต ซึ่งยิ่งผนวกเข้ากับความแข็งแกร่งด้าน Data ของ Google ก็ยิ่งทำให้ระบบ AI อย่าง กูเกิ้ลแอสซิสแทนต์ สามารถที่จะพัฒนาความสามารถไปไกลจนอาจทำได้มากกว่าการถามตอบก็เป็นได้ หรือไม่แน่ 2-3 ปีข้างหน้านี้ เราอาจได้เห็น Javis แบบในหนัง iron man ในร่างของกูเกิ้ลแอสซิสฯไปแล้วก็เป็นได้
Google Assistant in Thailand
จริงๆ แล้ว Google Assistant ไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับผู้ใช้คนไทย เพราะ กูเกิ้ลได้นำระบบ AI ที่สั่งการด้วยเสียงเข้ามาให้ใช้งานกันมาได้สักพักใหญ่แล้ว เพียงแต่ยังไม่ฉลาดเท่าผู้ช่วยคนใหม่ของกูเกิ้ลเท่านั้นเอง ดังนั้นเมื่อตอนนี้ผู้ช่วยของกูเกิ้ลรองรับภาษาไทยแล้ว ก็คงเป็นการเติมเต็มช่องว่างของการสื่อสาร-ความเข้าใจระหว่างผู้ใช้กับตัว AI ให้ตรงกันมากขึ้น ทำให้ทุกอย่างก็ดูง่ายไปซะหมด เหมือนคู่รักข้าวใหม่ปลามัน ที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูลงตัวไปซะหมด รวมทั้งทางกูเกิ้ลยังสามารถเก็บข้อมูลการใช้งานต่างๆ ไปพัฒนาให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนไทยมากขึ้นได้อีกด้วย
สมาร์ทโฟน Android OS รุ่นไหนบ้างที่ใช้ได้..
น่าจะเป็นคำถามที่ชาว Mover อาจสงสัยกันว่า สมาร์ทโฟนรุ่นไหนบ้างละ ที่จะได้ใช้งาน AI สุดอัจฉริยะจากกูเกิ้ลบ้าง โดยสมาร์ทโฟน Android ที่จะได้ใช้งานกูเกิ้ลแอสซิสฯ จะต้องเป็นสมาร์ทโฟนที่ Google Service อยู่ในเครื่องและมีเงื่อนไข
- รัน Android OS 5.0 มีพื้นที่หน่วยความจำเหลือ 1 GB และมีหน้าจอแสดงผลความละเอียด 720P ขึ้นไป
- รัน Android OS 6.0 มีพื้นที่หน่วยความจำเหลือ 1.5GB และต้องมีหน้าจอแสดงผลความละเอียด 720P ขึ้นไป
ตามสเปกที่ทางกูเกิ้ลบอกมา ก็สรุปง่ายๆ ได้ว่า สมาร์ทโฟน Android OS ในช่วง 2 ปีมานี้ น่าจะได้สิทธิ์ใช้งานกันหมดทุกรุ่นแบรนด์ดัง Samsung, Sony, OPPO, VIVO, Xiaomi, Moto, Nokia และ Huawei น่าจะใช้งานกันหมดแน่นอน