8 วิธีปฎิเสธคนยืมเงิน แบบซอล์ฟๆ แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย

จะทำอย่างไรเมื่อเพื่อนในที่ทำงานมาขอยืมเงินเรา แต่ตัวเขาก็เต็มไปด้วยเจ้าหนี้ในออฟฟิศเดียวกัน และมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับเวลาไปทวงเงิน เจ้าหนี้มักจะโดนต่อว่ากลับมาเสียเองอีก เราก็คงจะต้องปฎิเสธอยู่แล้วใช่มั้ย แต่จะเริ่มปฎเสธยังไงดีละ เพื่อให้เขาไม่มาต่อว่าเราว่าไม่มีน้ำใจ และยังรักษามิตรภาพในที่ทำงานนี้ได้อยู่ วันนี้ Mover จะขอนำเสนอ “8 วิธีปฎิเสธคนยืมเงิน แบบซอล์ฟๆ แต่ได้ผลลัพธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย” เชื่อได้เลยว่าเลือกใช้ 1 ในวิธีเหล่านี้ก็เอาอยู่แน่นอนสำหรับการปฎิเสธการยืมเงินจากเขา

#1 | ไม่ให้ยืมเงิน แต่ให้ไปเลยในปริมาณที่น้อยกว่า

ในเมื่อถ้าต้องการที่จะรักษาน้ำใจกันแล้วละก็ คงปฎิเสธไม่ได้ที่เราจะต้องเสียเงินสักหน่อย แต่จะดีกว่ามากถ้าเราไม่ต้องเสียเต็มจำนวนที่เขายืม แต่ให้เงินจำนวนหนึ่งกับเขาไปเลยโดยที่เราจะไม่ทวงเงิน หรือนับบุญคุณกับผู้ยืมอีก แต่ก็ไม่ควรให้มากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์ของจำนวนทั้งหมด หรือถ้าเขายืมเงินในจำนวนมากจริงๆ ก็ให้แค่ 10-25 เปอร์เซ็นต์และไม่เดือดร้อนเรา ที่เหลือก็อยู่ที่ตัวเขาแล้วละว่าจะรับเงินส่วนนี้จากเราไหม ถ้าเขาต้องการจะใช้เงินจริงๆ มากน้อยแค่ไหนก็ต้องรับไว้ก่อน มันอาจจะเป็นวิธีที่ทำให้เขาดูไม่มีศักดิ์ศรี และทำให้เขาคิดว่าเราไม่เชื่อเขาว่าจะหาทางนำเงินจำนวนนี้มาคืนเราได้ แต่มันคือวิธีหนึ่งที่วินๆกันทั้งสองฝ่าย เขาได้เงิน เราก็ได้ช่วยเขาแม้จะไม่มากเท่าที่เขาต้องการ แต่มันคือการให้เงินก่อนนั้นไปเลย ไม่ใช่การให้ยืม

#2 | พูดไปตามตรง

วิธีนี้มันอาจจะพูดง่ายๆ แต่ทำจริงๆแล้วยากพอตัว เพราะเราต้องแสดงความจริงใจผ่านสายตา หรือบางทีเราอาจจะต้องเล่นละครผ่านสีหน้าให้เขาเห็นว่าเราเองก็รู้สึกไม่สบายใจมากๆ ที่เขามายืมเงินเราแบบนี้ เราก็บอกไปตรงๆว่าเราไม่สามารถให้เขายืมเงินได้ เราได้รู้เรื่องของเขาว่าเขามีหนี้จากคนอื่นมากมายแล้ว และเขาไม่มีเครดิตมากพอให้เราเชื่อใจ วิธีนี้มีช่องโหว่ตรงที่ถ้าเขายังคงตามตื้อของยืมเงินไปเรื่อยๆ แต่วิธีแก้ก็แค่เรายืนกรานในคำเดิม พร้อมกับแสดงท่าทาง และสายตาที่เห็นอกเห็นใจ

#3 | ชักแม่น้ำทั้ง 5 เรื่องการเงิน ในกระเป๋าของเรา

ไม่จำเป็นต้องโกหกใดๆ เพียงแค่เราพูดถึงสิ่งที่เราจะต้องจับจ่ายใช้สอยจริงๆในปัจจุบันแต่ละเดือน แต่เราก็ใส่ตัวเลขของจำนวนเงินนั้นเว่อๆหน่อย หรืออาจจะเป็นบอกไปว่า เราต้องส่งเงินให้น้องที่กำลังเรียน ส่งเงินให้กับญาติห่างๆ เรียนหนังสือ ส่งเงินให้กับพ่อแม่ น้องป่วย ญาติป่วย แมวป่วย พ่อแฟนป่วย กลัวไม่สมจริงก็ไปเรียกแฟนมาแสดงละครด้วยเลยสนุกดี แต่ถ้าเขาต้องการจะใช้เงินจริงๆ คงไม่มาสาวเอาเรื่องราวมากมายหรอก คงจะรีบไปหาคนอื่นที่จะสามารถให้เขายืมได้รายต่อไปแล้ว

#4 | เสนอคนอื่นที่น่าสนใจในการยืมเงิน

ก็คงจะพุดยากถ้าเขามาขอยืมเงินเราแล้วเราปฎิเสธไป พร้อมทั้งบอกให้เขาไปยืมคนอื่น แต่ถ้าเราแนะนำคนที่พอจะช่วยเขาได้ อย่างการบอกให้ลองไปยืมเจ้านายดูสิ เจ้านายเขาเป็นถึงเจ้านายของเราเลยนะ เขาน่าจะช่วยได้ หรืออย่างการบอกให้เขาเอาทรัพย์สินที่มีอยู่ไปขาย หรือไปจองกับคนที่พอจะมีเงินอย่างหัวหน้า หรือกับทางธนาคารเองเลย ซึ่งมันก็เป็นวิธีที่ได้ผลดีถ้าต้องการจะใช้เงิน และยิ่งในยุคสมัยนี้เราสามารถนำรถของเราไปแลกเป็นเงินสดมาใช้ก่อนก็ได้ ก็ช่วยแนะนำธนาคารที่เชื่อถือได้ และให้อัตราดอกดอกเบี้ยที่ต่ำแกเขาด้วย

#5 | ให้โดยข้อแลกเปลี่ยน

นำหลักทรัพย์บางอย่างมาจำนำกับเรา เราก็บอกเขาไปว่าเราขอมีความมั่นใจสักนิดหากเขาต้องการจะยืมเงินเราจริง ขอทรัพย์สินบางอย่างมาอยู่ในมือเรา เพื่อให้แน่ใจได้ว่า เขาจะคืนเงินเราแน่นอน ซึ่งถ้ามาในรูปแบบนี้เขาจะถอยห่างจากเราแน่นอน เพราะเขาจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบมากๆ แม้ว่าเราจะให้มูลค่าของทรัพย์สินนั้นมากกว่าที่โรงจำนำจะให้ได้ และไม่มีอัตราดอกเบี้ยเก็บเพิ่ม แต่นั้นเขาก็ยังคงเป็นฝ่ายเสียเปรียบอยู่ดีที่นำทรัพย์สินของเขามาให้เรา ซึ่งปกติถ้าเขาเจอในรูปแบบนี้เขาจะหนีและถอยห่างเราไปเอง แต่ถ้าเขายืนยันที่จะยืม และนำทรัพย์สินมาให้เรา เพื่อเป็นหลักประกันในการยืม จงตรวจสอบทรัพย์สินนั้นให้ดี ว่านั้นใช่ของเขาจริงหรือไม่ และได้มาโดยชอบธรรมจริงๆ หรือเปล่า

#6 | มีคนอื่นยืมเงินตัดหน้าไปแล้ว

แม้จะเป็นการโกหก แต่ก็เป็นการโกหกที่แนบเนียนมากๆเชียวละ เพราะคนที่ยืมเงินมักจะเกิดเหตุการณ์ที่พลาดไปนิดเดียว เกือบจะได้แล้วอยู่บ่อยครั้ง อาจจะบอกไปว่าเมื่อวานพึ่งมีคนมายืมเงิน น้อยกว่าจำนวนเขานิดหน่อยเพื่อความสมจริง และนั้นก็เป็นจำนวนเงินที่เราต้องใช้เวลาเก็บหลายเดือนอยู่กว่าจะได้มา คงจะให้คุณยืมเงินในเร็ววันนี้ไม่ได้หรอก วิธีนี้ถือเป็นวิธีที่ดีมาก เขาคงยืมเงินเราไมไ่ด้ไปอีกหลายเดือน และกว่าจะถึงเวลาที่เขาจะกลับมายืมใหม่ ตอนนั้นเขาคงลาออกจากงานไป ยืมคนในที่ทำงานใหม่แล้ว

#7 | บอกถึงเป้าหมายการเก็บเงินของเรา

“เราจะไปขอแฟนแต่งงาน ถ้าช้ากว่านี้พ่อแม่เขาจะไม่ยกลูกสาวให้เราแล้ว” อะไรประมาณนี้ หรืออย่าง “เราจะไปเที่ยวดูทีมฟุตบอลสุดโปรดถึงขอบสนาม เพื่อนที่ชอบดูบอลเหมือนกัน นายต้องเขาใจเรานะ เราให้นายไม่ได้จริงๆ” แม้ฟังดูมันเป็นความสุขของเรา ที่สามารถรอได้นั้นแหละ แต่ในฐานะคนที่เก็บเงินมาอย่างยาวนาน ย่อมมีเป้าหมายในการใช้เงิน และจะเอาเป้าหมายนี้ไปมอบให้เพื่อนยืม มันก็ศูนย์เปล่ากันพอดีนะซิ เพื่อนก็คงบอกว่าเดี๋ยวคืนน่า พูดชักจูงไปถึงเป้าหมายอันยิ่งใหญ๋ เล่นใหญ่ไว้ก่อน เดี๋ยวเขาก็เลิกต่อล้อต่อเถียงกับเราเอง

#8 | ชวนพาไปทำบุญให้จิตใจสงบ (เปลี่ยนเรื่องคุย)

จริงๆก็มีหลากหลายวิธีในการเปลี่ยนเรื่องคุย แต่ที่ดีที่สุดคือการชวนไปทำบุญ เวลาเข้าวัดจิตใจจะสงบมากขึ้น เราจึงชวนเขาไปเข้าวัดค่อยๆคิดหาวิธีแก้ต่อไปเรื่อยๆ ถ้าแก้ไม่ได้ก็ใช้วิธีโบราณ นั้นคือหนีไปบวช อันนี้หยอกเล่น จริงๆการได้อยู่กับตัวเอง อยู่ในที่สงบๆ สภาพแวดล้อมที่ดีๆ จะทำให้เรานึกอะไรดีๆออก หาทางออกบางเรื่องให้กับชีวิต ถ้าคิดเองไม่ได้ลองไปถามหลวงพ่อที่เจริญภาวนามาตลอดค่อนชีวิต ไม่มากก็น้อยเราต้องได้แง้คิดดีๆ หรืออาจนึกวิธีแก้ไขช่วงชีวิตนี้ให้ดีกว่า ดีกว่ายืมเงินแล้วตายเอาดาบหน้าซ้ำแล้วยังดึงเพื่อนเขาไปติดในบ้วงกรรมนี้ด้วย อาจจะทำให้เสียมิตรภาพดีๆไปเพราะเรื่องเงินด้วยซ้ำ เอ่อ.. แต่เงินค่าทำบุญช่วยๆออกให้เพื่อนก่อนนเนอะ คงไม่มากมายอะไร

เห็นใจเพื่อนน่ะยังไงก็ดี แต่อย่าทำอะไรที่ทำไปแล้วมันจะเดือดร้อนต่อตัวเองทีหลัง มีข้อห้ามหนึ่งที่อยากฝากไว้เลยคือการค้ำประกัน ห้ามเด็ดขาด ห้ามค้ำประกันหนี้ใดๆก็ตามของเพื่อน หรือญาติพี่น้อง เพราะกรณีแบบนี้มีมากมายที่ พวกเขาเหล่านี้หอบผ้าหอมผ่อนหนีเราไป ไม่วายสุดท้ายก็ได้เลิกคบกันอยู่ดี สู้เลิกคบกันไปแบบเราไม่มีหนี้สินของเขามาดึงชีวิตเราลงไปสู่ความยากลำบากด้วยดีกว่า ในบางครั้งเราต้องตัดบางสิ่ง ก่อนที่มันจะก่อปัญหาใหญ่มาสู่ตัวเรา


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com