ทำความรู้จัก “Jeep Wrangler” รถทหารสายเลือดอเมริกันที่ไม่ได้มีไว้ใช้วิ่งแค่ในสนามรบ

MOVER ขอนำเสนอรถสงครามโลกที่จะกลับมาโลดแล่นบนถนนอีกครั้งด้วยรถ Jeep แบรนด์เก่าที่แฝงความเก๋าเอาไว้ภายใต้ดีไซน์สุดคลาสสิค และรถรุ่นนี้แหละครับที่เป็นที่มาของรถที่เรานิยมเรียกกันจนติดหูว่า “รถจิ๊ป” ซึ่งเป็นชื่อแบรนด์ไม่ใช่ชื่อของชนิดหรือลักษณะตัวถังรถแต่อย่างใด แต่ถึง Jeep จะเป็นแบรนด์ที่เก่าแก่ตั้งแต่ยุคสงครามแต่ก็ยังมีคนสนใจอยู่ไม่น้อยเลย โดยเฉพาะรุ่น Jeep Wrangler ที่มีดีไซน์ค่อนข้างคลาสสิคเหมือนอยู่ในยุคสงคราม แต่ว่าด้านสมรรถนะนั้นแข็งแกร่งและอัพเกรดมาแล้วแบบไม่น้อยหน้ารถดีไซน์ปัจจุบันเลย ถือว่าเป็นรถที่เหมาะกับผู้ชายขาลุยทุก ๆ คนเลย

Joost J. Bakker

Jeep Wrangler ถือเป็นรถสัญชาติอเมริกัน ถ้าใครเคยดูหนังสงครามก็คงจะคุ้นเคยกับรถหน้าตาเหล่านี้กันดีเพราะรถ Jeep Wrangler นั้นเคยใช้ในการรบตั้งแต่ปี 1940 หรือสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ที่จะเป็นรถแบบ 4×4 ออฟโลด ขับได้ทุกที่ ลุยได้ทุกแบบไม่ว่าจะเป็นที่ๆมีแหล่งนำ้ ในป่า หรือพื้นที่ ๆ เข้าถึงได้ยาก จึงเหมาะเป็นรบที่ใช้ในการรบอย่างมาก เจ้ารถรุ่นนี้ในสมัยก่อนยังไม่มีหลังคาเพื่อให้ทหารสามารถขับลาดตระเวนรบได้ โดยในสมัยแรกนั้นรถเหล่านี้ไม่ได้ชื่อนี้ แต่เมื่อผ่านช่วงสงครามโลกไปได้ 20 ปี ได้มีเศรษฐีชาวอเมริกัน ได้นำซากของรถเหล่านี้มาทำใหม่ เพื่อนำมาขับในชีวิตประจำวันและเป็นรถสะสมของเหล่านักสะสมรถแปลก ๆ ไปในที่สุด

ในปี 1986 ได้มีการสร้างรถเหล่านี้อีกครั้งและครั้งนี้แหละที่มีการตั้งชื่อให้กับมันนั่นก็คือ Jeep Wrangler โดยดีไซน์นั้นไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากมายเลย เป็นการยึดดีไซน์เดิมเหมือนในสมัยสงครามโลก แต่มีการใส่แอร์เข้าไป เริ่มมีกระจกและหลังคา ดูมีความทันสมัยมากขึ้นให้สามารถใช้งานในชีวิตประจำวันได้นั่นเอง โดยในปัจจุบัน Jeep Wrangler  เป็นรถที่มีทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน

blog.jeep.com

โดยรุ่นแรกนั้นเริ่มตั้งแต่ปี 1986 มีไฟหน้าที่เป็นทรงสี่เหลี่ยมยังมีดีไซน์ที่ไม่แตกต่างจากรถในสมัยสงครามโลกมากนักนอกจากตัวไฟหน้า ซึ่งในสมัยนั้นรถส่วนใหญ่ที่เป็นที่นิยมมักจะมีไฟหน้าเป็นสี่เหลี่ยมกันทำให้ Jeep Wrangler รุ่นแรกก็ต้องมีไฟสี่เหลี่ยมเหมือนกัน

จนมาถึงรุ่นที่สอง ในรุ่นนี้มีการปรับปรุงไฟหน้าเป็นทรงกลมให้ดูวินเทจมากขึ้น Jeep Wrangler ในรุ่นที่สองนี้จะมีหลังคาทั้งแบบผ้าใบที่สามารถเปิดออกได้และหลังคาแบบแข็ง โดยในภายในรถได้มีการปรับแผงคอนโซลให้มีความโมเดิร์นขึ้น เริ่มมีระบบไฟฟ้ามากขึ้นภายในรถ 

ส่วนในรุ่นที่สามนั้นก็มีความคล้ายกับรุ่นที่สองเลย เพียงแต่จะมีความแตกต่างตรงมีทั้งรุ่น 2 ประตู และ 4 ประตู รถรุ่นนี้นิยมใช้ยาวมาจนถึง ปีปัจจุบันเลยทีเดียว โดยตัวล่าสุดนี้ถือเป็นรุ่นที่ 4 คือรุ่นในปัจจุบันหรือที่เรียกว่าเจ้ารถ Jeep Wrangler โฉม 2018 นั่นแหละครับ โดยรถมีดีไซน์สมัยสงครามโลกแต่มีการเปลี่ยนกระจังด้านหน้าให้มีความทันสมัยขึ้น

Wrangler รุ่นที่ 4 ประกอบด้วยระบบ

#Jeep Wranger | รุ่น 3.6ลิตร 6 สูบ

เครื่องยนต์ถูกใช้เป็น เครื่องยนต์ Benzin Pentastar ของ Chrysler ความจุอยู่ที่ 3.6 ลิตร สามารถเรียกพละกำลังสูงสุดได้ที่ 285 แรงม้า ระบบส่งกำลังสามารถเลือกได้ระหว่าง 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 8 จังหวะ

อัตราการใช้น้ำมันของรถจิ๊ปรุ่น 4 ประตู เกียร์ธรรมดา

ขับในเมืองกินน้ำมันเฉลี่ย 7 กม./ลิตร
นอกเมืองถนนโล่งๆ (ถนนเส้นข้ามจังหวัด) กินน้ำมันเฉลี่ย  8.2 กม./ลิตร

อัตราการใช้น้ำมันของรถจิ๊ปรุ่น เกียร์อัตโนมัติ

ขับในเมืองกินน้ำมันเฉลี่ย 7.4 กม./ลิตร
นอกเมืองถนนโล่งๆ กินน้ำมันเฉลี่ย  8.3 กม./ลิตร

#Jeep Wranger | รุ่น 2.0 ลิตร 4 สูบ

เครื่องยนต์ถูกใช้เป็น เครื่องยนต์ Benzin 4สูบเรียง 2.0 ลิตร พร้อมเทอร์โบชาร์จ พละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 268 แรงม้า ส่งกำลังด้วยด้วยเกียร์อัตโนมัติ 8 จังหวะ และยังมีระบบ mild hybrid ที่ช่วยในการประหยัดพลังงานอีกด้วย พร้อมทั้งระบบ เปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติตามความเหมาะสม ระบบชาร์จกระแสไฟฟ้ากลับแบตเตอร์รี่,เบรค และ ระบบดับเครื่องยนต์อัตโนมัติขณะหยุดนิ่ง  

#Jeep Wranger | รุ่น 4 สูบขนาดเล็ก

กลุ่มนี้ใช้เครื่องยนต์ Wrangler ใหม่ แล้วยังมีเทคโนโลยีหลักๆ อาทิเช่น เสื้อสูบอลูมิเนียม ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบไดแรค อินเจคชั่น ระบบปั้มแรงดันสูง ระบบจ่ายเชื้อเพลิงแบบคอมมอนเรล ระบบวาล์วแปลผัน ระบบแปนผันแคมชาร์ฟแบบอิสระคู่ และที่น่าสนใจมากๆคือ ระบบหมุนเวียนไอเสีย

#Jeep Wranger | รุ่น Diesel EcoDiesel

ความจุ 3.0 ลิตร รุ่นนี้มีพละกำลังสูงสุดอยู่ที่ 260 แรงม้า แต่รุ่นนี้จะเริ่มจำหน่าย Wrangler รุ่นนี้ช่วงปี 2019 ถ้าท่านใดสนใจ เตรียมเงินซื้อได้เลย

ในด้านความปลอดภัยทางด้าน Jeep Wrangler ได้เพิ่มระบบต่างๆมากถึง 75 รายการเพื่อให้ผู้ใช้ รู้สึกสะดวก และปลอดภัย ตัวอย่าง 75 รานการที่เพิ่มเช่น

1. ถุงลมนิรภัย 4 จุด
2. ระบบเตือนจุดอับสายตาที่กระจกมองข้าง
3. ระบบตรวจจับรถด้านข้างขณะถอยหลัง
4. กล้องด้านหลัง ที่ใช้สำหรับช่วยในการถอยจอด
5. ระบบควบคุมการทรงตัว
6. ระบบ electronic roll mitigation ที่ช่วยไม่ให้รถพลิกคว่ำ

ปัจจุบันเราอาจจะได้เห็นรถที่ดีไซน์สมัยสงครามโลก ได้กลับมามีชีวิตวิ่งในถนนทั่วไปอีกครั้ง อาจจะดูแปลกหูแปลกตาไปบ้าง แต่สำหรับท่านที่ชอบความสมบุกสมบันแล้ว รถรุ่นนี้คือตัวเลือกชั้นยอดของท่านแน่นอนครับ


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com