ปัจจุบันคงปฎิเสธไม่ได้ว่า สูทเป็นอีกหนึ่งสไตล์ของผู้ชายทุกคนที่ควรมีไว้ติดบ้าน เพราะไม่ว่าจะใช้ออกงานแต่งงาน งานเลี้ยงสังสรรค์ หรือแม้กระทั่งการพรีเซ็นท์งานในบริษัท ไปดูงานกับบอส ทั้งหมดนี้ก็คงหนีไม่พ้นการเลือกชุดสูทซักชุดมาใส่ ซึ่งนอกจากจะใส่ออกงานแล้ว การนำชุดสูทมาใส่ในวันธรรมดา ก็ช่วยให้คุณดูดีขึ้นมาได้ทันที แต่สูทนั้นใช่ว่าจะมีราคาถูกเหมือนเสื้อยืด กางเกงยีนส์ทั่วไป
2 Type of SUIT
ถ้าหากถามว่า สูทตัวเดียวพอหรือไม่กับทุกโอกาส วันนี้เราจะมาร่วมหาคำตอบไปพร้อม ๆ กัน เริ่มจากการเลือกชุดสูทอย่างไรให้ดูโปรนั้น คุณทำความเข้าใจกันก่อนว่า เสื้อสูท นั้นแยกประเภทจากการตัดเย็บเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ก็คือการตัดแบบ Bespoke หรือการตัดแบบเฉพาะตัวผู้ใส่ และการเลือกแบบ Ready to wear คือการตัดแบบสำเร็จรูปไว้แล้ว สามารถใส่ได้ทันที
#1 | Bespoke / Tailor Made
การตัดสูทแบบ Bespoke นั้นเริ่มต้นด้วยการที่คุณเดินเข้าไปในร้านที่มีบริการรับตัดสูทตามต้องการ จากนั้นเจ้าของร้านจะพาคุณไปดูเนื้อผ้า เลือกแบบผ้า ซึ่งผ้าที่ควรใช้ควรเป็นผ้าที่ไม่หนามาก มีความบาง ใส่สบาย อย่างผ้าทอแบบ High twist ที่เหมาะกับอากาศร้อนในประเทศไทย และผ้าทอ Linen ที่มีคุณสมบัติโป่งและระบายอากาศได้ดี
จากนั้นคุณต้องเลือกสไตล์สูทที่ต้องการตัด คุณอาจจะเลือกจากแบบในร้านที่มีอยู่แล้ว หรือเลือกจากสไตล์สูทที่คุณต้องการ ซึ่งส่วนใหญ่นิยมตัดสูทในสไตล์ของ ญี่ปุ่น อิตาลี และ ฝรั่งเศส ซึ่งการตัดสไตล์เหล่านี้จะค่อนข้างเหมาะกับคนเอเชียมากกว่าเนื่องจากการตัดมีการผ่าข้างหลังเสื้อ เพื่อความสะดวกในการขยับตัว ทำให้ไม่อึดอัด และการตัดจะไม่เป็นทางการจนเกินไป ใส่แล้วรับรองมั่นใจ ชัวร์!
#1.1 | First , Second and final fitting
หลังจากนั้นก็ทำการวัดตัว โดยพอวัดตัวเสร็จ เจ้าของร้านจะนัดมาลอง first fitting คือการลองโครงของเสื้อ ในขั้นตอนนี้เสื้อสูทที่ตัดออกมานั้น จะไม่มีกระเป๋า ไม่มีแขน แต่ให้คุณลองแค่ความพอดีของบ่าและไหล่ เพราะเป็นจุดสำคัญที่สุดของการใส่สูท ถ้าหากส่วนของไหล่ไม่พอดี กว้างไป แคบไป จะทำให้สูทที่ออกมานั้นใส่แล้วอึดอัด ถัดจากการลอง First fitting ก็จะเป็นการลอง Second Fitting คือการลองสูทที่ตัดออกมามีแขนและมีกระเป๋าแล้ว เพื่อลอง ความกว้างของแขนและดูปีกหลัง ใต้รักแร้ ของเสื้อว่าพอดีกับตัวผู้ใส่หรือไม่
Final fitting คือขั้นตอนสุดท้ายในการลองสูท เพื่อเก็บรายละเอียดต่างๆ ทั้งโครงเสื้อ ไปจนถึง กระเป๋า เพื่อให้เสื้อสูทของคุณออกมาดูดีที่สุดสำหรับคุณโดยเฉพาะ ข้อดีของการตัดสูทแบบ Bespoke คือ การที่สูทมีความพอดีตามความต้องการของคุณมากที่สุด ทำให้คุณสามารถ พรางรูปร่างได้ ไม่ว่าคุณจะผอม หรือ อ้วน หรือหุ่นดี ก็ใส่แล้วออกมาดูดีได้เหมือนกันหมด แต่แน่นอนราคาของการตัดสูทแบบนี้ย่อมสูงกว่าการเลือกสูทแบบสำเร็จ และใช้ระยะเวลาในการตัดค่อนข้างนาน เพราะอาจต้องปรับแก้แบบเรื่อยๆ
#2 | Ready to wear
การเลือกสูทแบบสำเร็จนั้นมีข้อดีคือคุณสามารถเลือกชุดสูทที่คุณชอบ พอดีกับตัวของคุณ จ่ายเงินแล้วใส่ได้ทันที ไม่ต้องรอนาน หรือมาวัดหลาย ๆ รอบ ซึ่งในปัจจุบันก็มีหลายร้านที่มีบริการปรับชุดสูทของคุณให้ได้ตรงตามไซท์ที่พอดีกับคุณได้ ถือเป็นการบริการหลังการขายที่เวิร์คมากๆการเลือกสูทนั้น ถ้าหากเลือกสูทในแบบที่ใช้ได้ในหลาย ๆโอกาส คุณควรจะเลือกสูทที่มีเนื้อผ้าที่ไม่หนาและแข็งมากเกินไป เพราะมันจะดูเป็นทางการมากขึ้น ส่วนสีของเสื้อสูทนั้นได้รับความนิยมอยู่ 3 สีคือ สีดำ สีกรมท่า สีเทา หรือสีถ่าน (Chacoal Grey) แต่หากคุณต้องการเลือกติดบ้านไว้เพียงตัวเดียว แต่ใช้ได้ในหลายๆโอกาส ใช้ได้แทบทุกงาน ควรจะเลือกเป็นสีเทาเนื่องจากสีเทาสามารถ match ได้กับกางเกง เนคไทด์ รองเท้า เข็มขัด ได้หลากหลายสไตล์ มากกว่าสีอื่นๆ และหากคุณเลือกชุดสูทสีดำ ไปงานสังสรรค์มันก็อาจจะดูเป็นทางการจนเกินไป
โดยการมาลองสูทอยู่ร้าน แนะนำให้คุณใส่เสื้อกั๊กหรือเสื้อเชิร์ตและรองเท้าที่คุณจะใส่กับสูทมาด้วย เพื่อเวลาลองสูทแล้วจะได้ match กันมากที่สุด การเลือกสูทให้ดูมีความเป็นแฟชั่นขึ้นมาหน่อย ให้คุณดูที่กระดุม กระดุมที่สูทจะมีประมาณ 1-2 เม็ดไม่มากไปกว่านั้นเพื่อให้ดูลุคลำลองมากขึ้นส่วนการใส่สูทให้มีสไตล์ คือการติดกระดุมแค่ 1 เม็ด เพื่อโชว์เสื้อเชิร์ตและเสื้อกั๊กข้างในสูท ทำให้คุณดูมีไสตล์มากขึ้น
การมีกระดุม 1-2 เม็ดนอกจากจะเป็นแฟชั่นแล้วยังสามารถทำให้พรางรูปร่างได้ดี สำหรับคนท้วมหรือคนอ้วน อีกด้วย ส่วนคนที่ผอมมากๆ สามารถเลือกเสื้อสูทที่มีกระดุมสองแถวก็สามารถทำให้คุณดูตัวใหญ้ขึ้นมาได้อีกด้วย การที่สูทขอคุณเป็นลายเรียบๆทำให้คุณใช้ได้ในหลายโอกาสแต่การเลือกลายของสูทนั้นก็มีความสำคัญ เพราะหากคุณเป็นคนที่มีรูปร่างท้วมหรืออ้วน ก็ควรเลือกสูทที่มีลายเป็นลายตัดตรง
ปกของสูทจะมีทั้งปกแบบเทเลอร์ ที่มีความเป็นทางการมากกว่า ดูคลาสสิก และปกกล้วย ที่ให้ความเป็นทางการน้อยลง แต่ดูแฟชั่นมากขึ้น กระดุมแขนมีทั้งแบบเจาะจริงและไม่ได้เจาะจริง โดยส่วนใหญ่จะมีประมาณ 4 เม็ด การใส่จะไม่ติดกระดุมเม็ดสุดท้าย เปิดทิ้งไว้เป็นแฟชั่น นอกจากการเลือกแบบของชุดสูทแล้วการดูไซท์ของเสื้อสูทก็เป็นสิ่งสำคัญในการเลือก เพราะถ้าหากไซท์ที่เลือกไม่พอดี หรือดูไซท์ของสูทไม่เป็นก็อาจทำให้คุณใส่สูทแล้วดูแย่ได้เหมือนกัน
โดยการดูสูทว่าพอดีกับตัวเรารึเปล่านั้นมีเทคนิคการดูคือ เมื่อคุณลองสูทแล้วให้ลองสอดมือของคุณเข้าไปในสูท ถ้าหากคุณรู้สึกว่าช่องว่างมันแคบสอดมือเข้าไปยาก นั่นคือมันอาจจะเล็กเกินไป ส่วนถ้ามือของคุณสามารถสอดเข้าไปได้แบบไม่อึดอัดนั่นก็แปลว่าสูทที่คุณสวมอยู่นั้นมีโอกาสพอดีกับคุณแล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องดูจากองค์ประกอบอื่นเสริมด้วย เช่นไหล่ของเสื้อต้องไม่กว้างเกินไป ต้องพอดีกับความกว้างไหล่ของคุณ และแขนเสื้อต้องยาวลงมาชนข้อมือ เพื่อให้มีพื้นที่เหลือในการโชว์เสื้อเชิร์ตที่อยู่ข้างในโดยกระดุมของเสื้อเชิร์ตต้องโผล่พ้นเสื้อสูทอย่างน้อยครึ่งนิ้ว ความยาวของเสื้อยาวลงบริเวณก้นของผู้ใส่ หรือ ประมาณครึ่งก้น โดยเสื้อจะยาวมาประมาณอุ้งมือผู้ใส่และ ต้องยาวปิดซิปกางเกง, ความกว้างของปกคอเสื้อประมาณ 2 นิ้ว โดยปกคอเสื้อสูทกับคอเสื้อของเสื้อเชิร์ตต้องไม่ห่างกันเกินไป
การเลือกชุดสูทควรเลือกชุดที่มีการผ่าข้างหลังเสื้อขึ้นมาไม่สูงมาก จะช่วยให้คุณไม่อึดอัดเวลาใส่ ส่วนสำหรับคนที่ตัวใหญ่ให้เลือกสูทที่มีการผ่าหลัง สอง จุด นอกจากการเลือกแจ็คเก็ตสูทแล้วหนุ่มๆไฟแรง วัยรุ่น คงรู้สึกว่ามันดูเยอะจนเกินไป อยากจะใส่แค่แจ็คเก็ตสูทตัวเดียวได้รึเปล่า? ไม่ต้องมีเสื้อกั๊ก หรือเสื้อเชิร์ต ซึ่งแน่นอนครับการที่เราจะเลือกแจ็คเก็ทสูทมาใส่เป็นแฟชั่น ไม่ได้ใส่ไปออกงาน ก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ทำให้การแต่งตัวของคุณดูมีระดับขึ้นได้ ดูมีความเซอร์ขึ้นมาหน่อย
How To Style With SUIT
#1 | แจ็คเก็ตสูท + กางเกงยีนส์
หากคุณชอบใส่กางเกงยีนส์ก็สามารถเอาเสื้อสูทสวยๆ ตัดเย็บแบบพอดีตัวมาใส่คู่กับกางเกงยีนส์ได้เช่นกัน และที่สำคัญกางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้มสวยๆ ที่มี fade บางๆนั้น เข้ากันได้ดีเยี่ยมกับ รองเท้าหนัง oxford สีนำ้ตาลอีกด้วยครับ การใส่กางเกงยีนส์คู่กับสูทและรองเท้าหนังจะทำให้ผู้ชายดูเป็นหนุ่มที่มีบุคลิกสบายๆ แต่รอบรู้ในเรื่องสไตล์และฉลาดในการที่จะแต่งตัวให้เข้ากับกาลเทศะในเวลาที่ต้องการครับ เป็นอีกสไตล์ที่น่าลองในวันที่คุณไม่มีเวลาแต่งเนียบมาก แทนที่จะใส่กางเกงยีนส์เสื้อยืดคุณแค่หยิบสูทมาใส่ก่อนออกจากบ้านก็ทำให้คุณดูคูลขึ้นทันที
#2 | ใส่กับรองเท้าผ้าใบ
การใส่รองเท้า sneaker ก็เป็นอีกทางเลือกที่คุณสามารถ แม็ตซ์ ได้เกือบทุกแนวไม่ว่าจเป็น เสื้อยืด หรือเสื้อสูทก็ตาม การแม็ตซ์กันระหว่างเข็มขัดและรองเท้า ถ้าหากคุณเป็นอีกคนที่ต้องการความเซอร์ ไม่ได้เนียบตั้งแต่หัวจรดเท้า ก็ลองใส่ชุดสูทกับเข็มขัดที่มีสีตัดกับชุดสูทของคุณดูอย่างเช่นสีนํ้าตาล แต่อย่าลืมเชียวละว่าเข็มขัดของคุณต้องเป็นสีเดียวกันกับรองเท้าของคุณด้วย
#3 | เสื้อยืดก็ใส่ได้
เดี๋ยวนี้ก็ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นเสื้อเชิ้ตเท่านั้นที่ใส่กับสูทได้ แต่เสื้อยืดนั้นก็เป็นอีกหนึ่งไอเท็มที่เหมาะจะนำมาจับคู่ด้วยเช่นกัน เพราะในบางครั้งเราอาจจะไม่ได้ต้องการความเป็นทางการหรือจริงจังระดับที่มากมายนัก ดังนั้นเสื้อยืดสีพื้น ๆ ไม่ว่าจะเป็นคอกลมหรือคอวีก็จะช่วยปรับให้ลุคของคุณดูเฟรนด์ลี่และน่าเข้าหามากยิ่งขึ้น