เมื่อพูดถึงกล้องไลก้า (Leica) ทุกคนมักจะคิดถึงกล้องรูปโฉมคลาสสิคแบบกล้องฟิล์มหรือกล้องราคาแพงโหด ๆ อย่างแน่นอน โดยเฉพาะกับตระกูล M series ที่มีความเรียบหรูสไตล์วินเทจสมกับเป็นกล้องที่เกิดตั้งแต่สมัยสงครามโลก ซึ่งเราจะพาทุกคนไปค้นหาคำตอบที่ว่าเหตุใด ทำไมเจ้ากล้องตัวนี้ถึงราคาสูงเสียดฟ้าขนาดนี้ได้?
ต้นกำเนิด Leica M series
ย้อนกลับไปในปีคริสต์ศักราช 1913 นายออสการ์ บาร์แน็ค (Oskar Barnack) วิศวกรชาวเยอรมัน ได้ริเริ่มสร้างกล้องถ่ายรูปแบบใช้ฟิล์มภาพยนต์ ที่มีขนาด 35 มิลลิเมตร เจ้าสิ่งนี้ถือว่าเป็นกล้องรุ่นแรกที่ใช้ฟิล์ม และด้วยนวัตกรรมนี้ ทำให้เกิดการต่อยอดกล้องฟิล์มที่ใช้มาถึงยุคปัจจุบัน และเขาได้ตั้งชื่อกล้องรุ่นนี้ว่า Ur-Leica และในเวลาต่อมาอีกกว่า 40 ปีก็ได้ถือกำเนิดกล้องไลก้า (Leica) ตระกูล M sereis ขึ้นมา
#1 | Leica M3
รุ่นนี้ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1954-1966 ผลิตทั้งหมด 2 แสนกล้อง และถูกนำเสนอในนิทรรศการ Photokina ของเยอรมัน M3 เป็นรุ่นแรกของกล้อง Leica ตระกูล M ซึ่งตระกูล M นี้ยังคงผลิตมาจนถึงปัจจุบัน และเป็น Leica รุ่นแรกที่มีสไตล์ “เมาท์เขี้ยว” หรือที่เรียกว่า Bayonet mount หรือถ้าพูดให้เข้าใจง่ายกว่านี้คือ สามารถถอดเลนส์ที่เปลี่ยนได้ และรุ่นนี้ยังถูกขนานามว่า “การซื้อกล้องรุ่นนี้ คือการลงทุนตลอดชีวิต เพื่อการถ่ายภาพที่สมบูรณ์แบบ”
สิ่งที่ Leica M3 ไม่มี
- ไม่มี light meter (เครื่องวัดแสง)
- ไม่มี frameline บอก
สามารถใช้เลนส์ รุ่นใหม่ตั้งแต่ 35 มิลลิเมตรได้ เพราะฉะนั้นจึงเป็นกล้องที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะตัวสูงมาก เหมาะสำหรับสายฮาร์ดคอร์ ที่ทุกอย่างเราต้องกะจากประสบการณ์การใช้งานเท่านั้น เป็นรุ่นที่ถ้าใช้เป็นจะดูคูลมาก ๆ
#2 | Leica M2
เจ้า M2 ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1958-1967 ผลิตทั้งหมด 88,000 ตัว โดยจะมีช่องมองมีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 0.72 ทำให้สามารถใช้เลนส์ขนาด 35 มิลลิเมตร ได้ง่ายขึ้น และในต่อมา ขนาด 0.72 ก็กลายเป็นขนาดมาตรฐานของช่องมองภาพสำหรับกล้อง Leica ตระกูล M แต่เจ้า M2 ก็ยังคงไม่มี light meter (เครื่องวัดแสง) เช่นเคย แต่สามารถใช้เลนส์รุ่นใหม่ตั้งแต่ 35 มิลลิเมตรได้
#3 | Leica M1
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1959-1964 ผลิตทั้งหมด 9,392 กล้อง รูปทรงยังคงความคล้ายกับ M2 Leica M2 ไม่มี Rangefinder หรือไม่มีตัววัดระยะโฟกัส ทุกอย่างเราเซตค่าด้วยตัวเอง ถือเป็นกล้องที่โฟกัสไวที่สุด ให้เราได้โชว์ความเหนือกับการถ่ายรูป ซึ่งนั้นก็ขึ้นอยู่กับฝีมือของเราด้วยเช่นกัน
#4 | Leica M4
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1967-1975 ผลิตทั้งหมด 50,000 กล้อง รูปทรงมีความคล้ายกับรุ่น M3 ที่เพิ่มมีช่องเคาท์ดาวน์ฟิล์ม และที่กรอฟิล์มเปลี่ยนรูปทรงไปจากรุ่น M3 เพื่อให้ที่สะดวกขึ้น มีระบบวัดแสงเป็นรุ่นแรกของ Leica ตระกูล M Leica M4 ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวเสียบฟิล์ม ให้เป็นแบบ 3 แฉก ซึ่งสามารถใส่ได้ง่ายมากขึ้น และรวดเร็วมากขึ้น
#5 | Leica M5
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1971-1975 ผลิตทั้งหมด 31,400 กล้อง ได้มีการร่วมมือกันของ Leica และ Minolta ผลิต Leica รุ่น M5 ขึ้นมา เรียกได้ว่ารุ่นนี้เป็นรุ่นนี้เป็นรุ่นเปลี่ยนแปลงของ Leica ตระกูล M เลยทีเดียว เพราะว่ารูปทรงนั้นถูกเปลี่ยนแปลงให้ดูทันสมัยขึ้น แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกยังอยู่ครบครัน ถึงแม้รูปทรงจะดูทันสมัยขึ้น แต่กลับไม่ถูกใจผู้ใช้ Leica ในสมัยนั้น จึงทำให้รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ไมไ่ด้รับความนิยมเท่าไรนัก M5 เป็นตระกูล M ตัวสุดท้ายที่มีระบบตั้งเวลาถ่ายภาพ
#6 | Leica M6
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 1984-1998 กล้องที่รวมข้อดีของ M3 และเพิ่มเครื่องวัดแสงที่ทันสมัยเข้าไปด้วย หรือก็คือ Light meter ที่เคยกล่าวถึงในข้างต้นนั้นเอง รูปทรงกลับมาสู่ความคลาสสิคแบบเดิมที่ Leica ควรจะเป็น
#7 | Leica M7
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 2002-2018 M7 มีระบบ TTL ในตัว และมีการใช้ระบบเปิดรับแสงด้วยตัวเอง ระบบแฟลชสัมพันธ์กับสปีดชัตเตอร์ เราสามารถเลือกรูรับแสงเอง แล้วก็เป็นชัตเตอร์ไฟฟ้า และตั้งแต่รุ่น M8 เป็นต้นไป Leica ตระกูล M จะเป็นกล้องดิจิทัล
#8 | Leica M8
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 2006-2009 M8 เป็นกล้องดิจิทัลตัวแรกของ Leica ตระกูล M ที่ถูกนำเสนอด้วยเซ็นเซอร์ 10.3ล้านพิกเซล เซ็นเซอร์เป็นแบบฟิล์มมาตรฐานขนาด 35 มิลลิเมตร ขนาด 1.3 นิ้ว ซึ่งทำให้ M8 มีมุมมองที่กว้ากว่าเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า กล้องไลก้า รุ่นนี้เป็นรุ่นที่ถูกใจใครหลาย ๆ คน ด้วยรูปโฉมที่โฉบเฉี่ยว สวยงาม ขนาดที่ใหญ่ ตัวแฟลชแบบ TTL ถ่ายขาวดำได้งดงามจนน่าทึ่ง
#9 | Leica M9
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 2009 M9 คือ full frame digital แรกของตระกูล โดยรวมความแตกต่างระหว่าง M8 และ M9 ก็คือ การเปลี่ยนเซ็นเซอร์จากตัวเดิมที่เป็นฟิล์มมาตรฐานขนาด 35 มิลลิเมตร ขนาด 1.3 นิ้ว มาเป็น Full Frame ผลจากการเปลี่ยนเซ็นเซอร์ ทำให้พื้นที่มันเพิ่มมากขึ้น ถ้าใช้พิกเซลเท่าเดิม ก็จะได้จำนวนพิกเซลเพิ่มขึ้นด้วย M9 จึงมีความละเอียดเพิ่มมากกว่า M8
#10 | Leica M10-P
ถูกผลิตขึ้นเมื่อปีคริสตศักราช 2017 M10 เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดของตระกูล M ที่เราไล่เลียงกันมา นี้คือผลที่ก่อร่างสร้างมาตั้งแต่อดีต รุ่นนี้มาพร้อมกับจอทัชสกรีนครั้งแรกของตระกูล ตัวชูโรงของ M10-P ก็คือจอทัชสกรีนที่สามารถขยายเพื่อดูรูปภาพได้ และได้ปรับปรุงต่อจากรุ่น M10 ให้ชัตเตอร์มีความเงียบมากขึ้นกว่าเดิม เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่มีเสียงชัตเตอร์เงียบที่สุด สเปคของรุ่นนี้ประกอบไปด้วยระบบเซ็นเซอร์ CMOS ความละเอียด 24 ล้านพิกเซล มาพร้อมกับจอ LCD ขนาด 3 นิ้ว ตัวเครื่องมีให้เราเลือกด้วยกันทั้งหมด 2 สี คือสีดำ และสีน้ำเงิน โดยราคาของรุ่นนี้อยู่ที่ 261,600 บาทย