จากความเดิมตอนที่แล้วที่ MOVER ได้พูดถึง Nickname หรือชื่อเล่นของนาฬิกา Rolex กันไปส่วนหนึ่งแล้ว เชื่อว่าหลายๆ คนน่าจะสนใจ และจะกำลังรอดูบทความภาคที่สองของฉายานาฬิกา Rolex กันอยู่ ซึ่งเพื่อไม่ให้เสียเวลา เราไปติดตามตอนต่อของชื่อเล่นนาฬิกา Rolex กันต่อได้เลย
#1 | Thunderbird
เจ้านาฬิกาเรือนนี้มีชื่อเล่นที่แปลงมาจากนาฬิกา Date-just ที่มีลักษณะตัวเรือนด้านนอกคล้ายกับฝาที่หมุนได้ (อย่างที่เรารู้จักกันในชื่อ Turn-O-Graph) ในช่วงปลายปีค.ศ. 1950 กองเรือรบของ Thunderbird สหรัฐอเมริกาได้ใช้นาฬิกาตัวนี้อยู่บ่อยครั้ง จึงได้โอกาสในการทำการตลาดอย่างเต็มที่ อีกทั้งยังมีการเปิดตัวซีรีส์ใหม่เป็นนาฬิกาตัวเรือนที่มีฝาแบบหมุนได้ และมีโลโก้ของ Thunderbird ติดอยู่บนหน้าปัดด้วย ราคาวางจำหน่ายอยู่ที่ 175,725 บาท
#2 | Smurf
เป็นงานฝีมือที่ทำจากทองคำขาว 18 กะรัต แทรกไปด้วยเซรามิกสีน้ำเงินในตัวเรือน แม้ว่าโรเล็กซ์จะได้รับการเสนอชื่อสุดพรีเมี่ยมเป็นคำว่า Submariner อยู่ที่ตัวหาก หากแต่สีน้ำเงินและขาวที่เป็นเอกลักษณ์ของเจ้า 116619 นี้ ทำให้ยังคงมีชื่อว่า Smurf อยู่ นอกจากนี้ Submariner “Smurf” ได้กลายเป็นที่ชื่นชอบในหมู่คนดังและนักกีฬามืออาชีพ เนื่องจากการตัวเรือนเป็นการรวมกันของวัสดุพรีเมี่ยมและยังมีรูปลักษณ์ที่ ที่สง่างาม แม้ว่าการใช้ชื่อเล่นของการ์ตูน “Smurf” Submariner ทำให้มีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้ชื่อ Submariner แบบร่วมสมัยอื่น ๆ แต่ถ้าเทียบกับความหรูหราและความสวยงามของนาฬิกาตัวนี้ ก็ถือว่าคุ้มค่ากับราคาที่จ่ายไปกับราคาค่าตัว 1 ล้านบาท
#3 | Padellone
หนึ่งในนาฬิกาสายวินเทจโบราณ สำหรับผู้ที่หลงไหลในความงามแบบโบราณ โรเล็กซ์ Padellone ถือว่าตอบโจทย์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยเส้นผ่านศูนย์กลาง 38 มม. ทำให้ 8171 ถือเป็นนาฬิกาที่ค่อนข้างใหญ่หากเทียบกับมาตรฐานรุ่นก่อนๆ สำหรับตัวนี้เปิดตัวครั้งแรกต่อหน้าสาธารณชนเมื่อปี 1949 และ ชื่อ “Padellone” เป็นภาษาอิตาเลียน มีความหมายว่า กระทะขนาดใหญ่เพราะเส้นผ่าศูนย์กลางที่ใหญ่มากกับตัวยึดโค้งที่แหลมคมซึ่งติดออกมาจากด้านข้างของตัวนาฬิกา ทำให้รุ่นนี้ถือเป็นอีกรุ่นที่มีฟังก์ชั่นที่น่าหลงไหลและยังคงความมีเสน่ห์มาจนปัจจุบัน ราคาอยู่ที่ 2 ล้านบาท
#4 | Bubbleback
ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ทางโรเล็กซ์ได้เริ่มคิดค้นนาฬิกาที่มีการเคลื่อนไหวแบบอัตโนมัติและค่อนข้างซับซ้อน มีการเพิ่มการสั่นสะเทือนของตัวเรือนเมื่อมีการเคลื่อนไหว อีกทั้งยังมีตัวเรือนที่ค่อนข้างหนา แม้ว่ารุ่นนี้จะเป็นรุ่นหนึ่งที่มีขนาดใหญ่ แต่ “Bubbleback” ก็เป็นที่รู้จักมากในหมู่นักสะสมและผู้ที่ชื่นชอบ ด้วยรูปร่างที่หนาแต่มีเส้นผ่าศูนย์กลางที่เล็ก ทำให้ลักษณะของนาฬิการุ่นนี้ค่อนข้างจะดูแปลกไปสักหน่อย อย่างไรก็ตาม การออกแบบครั้งนี้ถือเป็นประวัติศาสตร์ที่เป็นจุดเริ่มต้นของการออกแบบที่ซับซ้อนของบริษัทโรเล็คเลยก็ว่าได้
#5 | Great White
ในปี พ.ศ. 2520 โรเล็กซ์ได้ยกเลิกการใช้ชื่อ Sea-Dweller “Double Red” และแทนที่ด้วยหน้าปัดซึ่งใช้ข้อความสีขาวทั้งหมด นอกเหนือจากการเปลี่ยนสีแล้วข้อความ คำว่า “Submariner 2000” ก็ถูกตัดออกจากหน้าปัดทั้งหมดเพื่อให้สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่าง Submariner และ Sea-Dweller ของนาฬิกาได้ ในยุค 1665 พอดีกับที่หน้าปัดนาฬิกามีการเขียนทั้งหมดสีขาวนั้น ทำให้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “Great White” Sea-Dwellers ในหมู่นักสะสมจนถึงวันนี้ อย่างไรก็ตาม “White White” Sea-Dweller ถือเป็นอีกหนึ่งรุ่นที่ทรงคุณค่าเพราะเป็นจุดสำคัญในประวัติศาสตร์เลยก็ว่าได้ ส่วนราคาอยู่ที่ 149,650 บาท