Type to search

Interview

ทำความรู้จัก “นายแพทย์ กันตพงศ์ ทองรงค์” คุณหมออารมณ์ศิลป์เจ้าของเพจ PYONG: Traveller x Doctor

Share

MOVER ขอพาผู้อ่านทุกคนทำความรู้จักกับ “นายแพทย์ กันตพงศ์ ทองรงค์” หรือคุณหมอเปียงเจ้าของเพจพาเที่ยวสุดเท่อย่าง PYONG: Traveller x Doctor คุณหมอจบใหม่ไฟแรงที่รักในการเดินทางและการถ่ายภาพ พร้อมตอบทุกข้อสงสัยที่คุณน่าจะอยากรู้และคุณหมออยากเล่า ถ้าพร้อมแล้ว เริ่มออกเดินทางติดตามชีวิตคุณหมอคนนี้กันได้เลยครับ

#1 | ทำไมถึงต้องเป็น “เปียง” Traveller x Doctor 

ต้องเล่าก่อนว่าคำว่า “เปียง” เป็นชื่อเล่นที่มาจากชื่อเต็มๆ ว่าเปียงยางครับ เปียงยางเป็นชื่อกายกรรมที่มาเล่นสมัยที่คุณแม่ท้องผมอยู่ แล้วดันโชคดีได้รางวัลอะไรสักอย่างจากงานนั้น ตั้งแต่ตอนนั้นก็เลยได้ชื่อนี้มา ทุกคนก็เรียกว่าน้องเปียงยางตั้งแต่ตอนที่ยังไม่ได้คลอดออกมา แต่ว่าสุดท้ายก็ลดมาเหลือแค่เปียงเพราะจะได้เรียกง่ายขึ้นครับ

PYONG: Traveller x Doctor

สำหรับชื่อเพจ PYONG : Traveller X Doctor นะครับ ผมตั้งมาเพื่อให้มันมีความ contrast กันชัดเจนไปเลยว่ามันคืออะไร คือถ้าพูดว่าเปียงอย่างเดียวเนี่ยมันอาจจะงงๆ ว่าแปลว่าอะไร ไม่เข้าใจความหมาย แต่คนต้องติดตามผมก่อนถึงจะรู้ว่านั่นเป็นชื่อเล่นผม และที่ต่อท้ายว่า Traveller X Doctor เข้าไปนั่นก็เพื่อให้มันชัดเจนว่า เฮ้ย มันมีความ contrast กันนะว่าทำไมคนคนนึงถึงต้องเป็นทั้ง Traveller และ Doctor ไปพร้อมๆ กันด้วยอะไรอย่างงี้ จะเรียกว่าเป็นคล้ายๆ ทีเซอร์ให้คนต้องกดมาดูว่าจริงๆ แล้วคืออะไรกันแน่ครับ

#2 | ความเหมือนหรือต่างของการเป็น Doctor กับการเป็น Traveller

ความเหมือนและความต่างของทั้งสองคำนี้ ผมว่าจริงๆ แล้วมันไม่ได้เหมือนกันเลย ผมหาความเหมือนไม่ได้เลยด้วยซ้ำ แต่ว่าเราต้องการที่จะนำเสนอควบคู่ไปด้วยกัน จับคู่กันและนำเสนอว่า เราจะทำยังไงให้ทั้งสองอย่างนี้เนี่ยเกิดขึ้นได้พร้อมกัน แล้วจะทำยังไงให้เราที่จะสามารถเป็นหมอได้ ในขณะที่เราก็มีเวลาส่วนนึงมาทำเป็นเพจท่องเที่ยวได้ด้วย ครับ ก็จะเป็นการนำเสนอสองมุมมองว่าทำยังไง ทั้งเรื่องแบ่งเวลา แล้วก็มุมมองต่างๆ

#3 | แล้วทำไมถึงผันตัวมาเป็น Blogger สายเที่ยวได้

PYONG: Traveller x Doctor

จะเรียกว่าผันตัวก็ยังไม่ถูกต้องซะทีเดียวครับ เพราะปัจจุบันผมก็ยังทำงานเป็นหมอแบบ Full time อยู่เลยครับ แต่ว่าคือผมเลือกจะใช้เวลาว่างมาทำเพจท่องเที่ยวด้วย จุดเริ่มต้นมันเริ่มจากการที่ผมชอบการถ่ายรูปมากๆ ตั้งแต่ตอนเด็กละ ชอบการถ่ายรูปมากก็ทำให้เรามีสต็อกรูปเยอะ พอชอบถ่ายรูปเยอะเราก็อยากจะไปถ่ายที่สวยๆ ที่สวยๆ สำหรับผมคือการออกไปในที่ใหม่ๆ ที่เราไม่เคยเจอ ที่ที่มันมีอะไรที่น่าสนใจ มันก็เลยกลายเป็นว่า เพราะว่าเราชอบถ่ายรูป มันก็เลยอยากเที่ยวไปด้วย ก็กลายเป็นว่าเราก็ไปในที่ต่างๆ ตั้งแต่ตอนสมัยที่เรายังเรียนอยู่ พอเราจบมาละ ก็โอเค ตอนนี้เราควรทำอะไรที่เหมาะสมแล้ว เรามีเวลาว่าง เรามีรายได้ส่วนนึงเราก็เอาตรงนี้แหละ มาทำเป็นเพจขึ้นมาครับ

#4 | อะไรคือเสน่ห์ของการเที่ยวคนเดียวกับเที่ยวหลายคน ชอบแบบไหนมากกว่า?

ถามว่าเที่ยวคนเดียวกับเที่ยวหลายคนมันเหมือนหรือต่างกันยังไง ผมว่าอารมณ์มันไม่ได้เหมือนกันเลยนะ เพราะว่า การเที่ยวหลายคนมันเป็นการทำยังไงก็ได้ให้ทริปนั้นมีความกลมกล่อมที่สุด ต้องมีการแบ่งหน้าที่ มีคนนำทาง มีคนติดต่อสถานที่ เหมือนกับเราได้ทำงานกลุ่มกับเพื่อน ตกเย็นก็ปาร์ตี้ การมาเที่ยวหลายๆ คนนั้นก็ต้องเน้นความสนุก พูดคุยกันไม่ต้องคิดอะไรมาก อันนี้ก็จะเป็นสเน่ห์อย่างนึงของการเที่ยวหลายคน ซึ่งปกติของผมจะเป็นแนวนั้นมากกว่า ที่จะไปเที่ยวกับเพื่อน เที่ยวกับครอบครัวอะไรอย่างนั้นครับ

แต่ว่าการเที่ยวคนเดียวมันก็มีสเน่ห์เหมือนกัน เพราะว่าในชีวิตนี้ผมเคยเที่ยวคนเดียวแค่ครั้งเดียวเอง ก็คือตอนที่ผมไปที่สิงคโปร์ มีช่วงนึงที่ผมแยกกับเพื่อนมาเที่ยวคนเดียว อันนี้เป็นการเที่ยวคนเดียวครั้งแรกเลย ซึ่งผมว่ามันทำให้เราโตขึ้นในอีกแบบนึงที่เรารู้สึกไม่เคยเจอมาก่อน เพราะว่าปกติเวลาผมไปเที่ยวกับเพื่อน เราก็จะมีหน้าที่นึงแล้วเพื่อนก็จะทำหน้าที่นึง จนบางทีเราก็ไม่ได้สนใจว่าอีกหน้าที่นึงเขาทำอะไรกันบ้าง แต่พอเที่ยวคนเดียวปุ๊บ เราต้องคิดทุกอย่างเลย เพราะว่าถ้าเกิดเราไม่คิด เราก็ต้องนอนที่ห้อง ก็ไม่ได้ไปไหนเลย เวลาเราคิดนั้น มันไม่ได้คิดแค่ว่าเราจะไปไหน แต่เราต้องคิดว่าตอนเช้าเราจะกินข้าวที่ไหน เราจะออกกี่โมง ถ้าเราไปที่นั่น เราต้องไปยังไง แล้วถ้าเราไปถึงที่นั่น ถ้าเรากลับดึกล่ะ เราจะมีรถกลับมามั้ย แล้วเราจะกลับรถยังไง อะไรอย่างเนี้ยอ่ะครับ เราต้องคิดต่อว่า แล้วพรุ่งนี้เราจะนอนที่ไหนอะไรอย่างเนี้ย  มันต้องคิดให้แบบสุดทางแล้วก็จบในตัวของมันเอง อันนี้คือการเที่ยวคนเดียว มันเป็นการเที่ยวที่ต้องรับผิดชอบเยอะ ซึ่งส่วนตัวผมว่าสลับๆ กันบ้างก็ดีครับ แต่ยังไงก็แบบยังชอบแบบไปเที่ยวแบบหลายๆ คนมากกว่า สนุกกว่าครับ

#5 | มีเกณฑ์ในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวยังไง

เกณฑ์ในการเลือกสถานที่ท่องเที่ยวนะครับ สำหรับผม ผมว่ามันต้องถ่ายรูปสวยก่อนเป็นหลัก เพราะว่าผมเป็นคนชอบถ่ายรูป แล้วก็ผมชอบที่จะเดินไปตามแบบสถานที่ต่างๆ ที่มีความชัดเจนในเรื่องของวัฒนธรรม ในเรื่องของสถาปัตยกรรมอะไรอย่างนั้น เราจะแฮปปี้กับการที่เราเห็นตรงนั้น เวลาเราจะลิสต์ดูว่าเราอยากจะไปไหน เราก็จะเอาตรงนี้เป็นการตัดสินใจหลักๆ เลย

#6 | ถ้าให้อธิบายว่าตัวเองสั้นๆ จะเลือกเป็น Traveller สไตล์ไหน

ถ้าเกิดว่าจะให้จัด Category ว่าเราจะเป็นนักท่องเที่ยวแบบไหน ผมคิดว่าผมจะอยู่ผสมๆ กันครับ เพราะว่าสุดท้ายแล้วผลลัพธ์ของเราอยู่ที่รูปภาพ ผมชอบรูปภาพหลายแนว เพราะฉะนั้น ถ้าเกิดว่าวันนึงผมอยากจะออกเป็นแนวแบบ Architect หน่อยๆ ก็คือว่าชอบถ่ายรูปตึก ชอบแบบแสงเงา ความล้ำสมัยของสถาปัตยกรรม วันนั้นผมก็จะทุ่มให้กับการถ่ายรูปตึกไปเลย ก็คือจะตระเวนตามตึกต่างๆ ตามแบบที่ที่สวยๆ ก็อาจจะดูเป็นสายชิลหน่อย หรือว่าอีกวันนึงอาจจะเป็นแบบธรรมชาติ วันนี้เราก็จะเป็นสายลุยขึ้นมา มันก็แล้วแต่ว่าเรากำหนดธีมวันนั้นเป็นแบบไหน เพราะฉะนั้นผมอ่ะถ่ายได้หมดครับ คาเฟ่ได้ ธรรมชาติได้ เด็กได้ ขาวดำ สตรีทได้หมด เรียกว่าเป็นได้ทุกสาย ทุกสไตล์

#7 | ได้ยินว่า “ศิลปะ” เป็นเหมือนเพื่อนที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็ก ช่วยเล่าให้ฟังสักหน่อย

จริงๆ แล้วตอนเด็กเนี่ยผมเป็นนักล่ารางวัลเลยนะ งานประกวดต่างๆ ที่เกี่ยวกับงานศิลปะนี่คือไปตลอดเลย ทั้งระบายสีน้ำ สีชอล์ค สีน้ำมันอะไรแบบนี้คือไปมาหมด จนได้ไปแข่งระดับจังหวัดและระดับภาคตลอด ตั้งแต่สมัยช่วงประถม เวลานั้นก็จะอินกับงานพวกนี้มาก เพราะว่าพอเราทำทีไรเพื่อนๆ ก็ชอบมาดู ให้ความสนใจกับสิ่งที่เราวาดก็ถือว่าเป็นช่วงที่แฮปปี้ครับ

อย่างตอนที่อยู่ชั้นม.ต้น จะเป็นช่วงที่ฮิตดูการ์ตูนกันเยอะมาก ช่วงนั้นเราก็จะหัดวาดการ์ตูน หัดดรออิ้ง เริ่มเรียนรู้เกี่ยวกับการใช้ Computer graphic ต่างๆ พอม.ปลายเราก็เริ่มอินกับพวก Photoshop มากขึ้น เราเริ่มจะศึกษาว่าพวกโปสเตอร์หรือโลโก้มันออกแบบยังไง คือผมวนเวียนอยู่กับงานดรออิ้ง งานเกี่ยวกับเรื่องกราฟฟิกต่างๆ ตลอดตั้งแต่ประถมจนถึงม.ปลายครับ

แต่หันมาเริ่มจับกล้องจริงจังคือตอนประมาณปีหนึ่ง ช่วงนั้นคือเป็นกล้องของเพื่อนด้วย คือเรารู้สึกว่าพอเราจับกล้องปุ๊บ กดชัตเตอร์เสร็จเราก็ได้งานศิลปะออกมามาเลย แล้วมันเป็นที่ค่อนข้างเร็วและสำเร็จรูปหรือเรียกว่า instant ก็ได้ ซึ่งเป็นอะไรที่แตกต่างจากศิลปะก่อนหน้านี้ที่เคยทำมา เพราะเรารู้สึกว่าเราใช้เวลานานมาก กว่าจะได้แต่ละอย่างออกมา แต่พอเราได้ถ่ายรูป เราก็รู้สึกว่ามันสนุกดีนะ ไม่ต้องใช้เวลาเยอะแล้วก็ได้งานออกมาได้เร็ว ตั้งแต่ตอนนั้นก็ไม่วางเลย ใช้กล้องตลอด เริ่มจากตอนนั้นใช้ของเพื่อนบ้าง ใช้พวกกล้องมือถือบ้าง ถ่ายตามมุมตึกในโรงพยาบาล ตามขอบเตียงคนไข้  ตามสถานที่ต่างๆ ปรับเป็นขาวดำมั่ง ปรับ contrast ฝึกในการปรับโทน ให้เป็นโทนแบบตัวของตัวเอง แล้วก็ลงในไอจี ตอนนั้นไอจีเป็นภาพขาวดำหมดเลย แล้วก็เป็นขาวดำสไตล์ที่เน้นแสงเงา ตอนนั้นพอลงปุ๊บก็จะมีเพื่อนมาถามว่าตรงนี้ที่ไหน ตรงนี้แบบถ่ายยังไง ไม่เห็นเคยเห็นมุมนี้เลย สักพักก็เริ่มสนุกกับการที่ถ่ายรูปมากขึ้น สนุกกับการค้นหามุมใหม่ๆ สนุกกับการถ่ายรูปสิ่งของปกติทั่วไปให้ออกมาดูน่าสนใจขึ้น

คือเราสนุกที่ได้เผยอีกมุมของสิ่งสิ่งหนึ่ง โดยที่มันก็ยังสวยงามในแบบที่มันเป็น เพียงแต่ยังไม่เคยมีใครเห็นมุมมุมนั้น เราเลยคิดว่าเรามีความสามารถในการดึงความน่าสนใจในสิ่งปกติออกมาได้ หลังจากนั้นเป็นต้นมาก็ฝึกอย่างนี้มาตลอด จนมีกล้องของตัวเองตอนเรียนปี 2 ตอนนั้นก็สนุกมากเพราะว่าไปไหนมาไหน ก็คือเรียกว่าต้องมีกล้องติดตัวตลอด ทุกที่ต้องมีกล้องแล้วก็ถ่ายรูปในทุกๆที่ที่ไปครับ ถ่ายมาแล้วก็ว่าเข้าคอม มาแต่งให้เป็นสไตล์ของตัวเอง จนช่วงสักปี 3 ปี 4 ก็รู้สึกว่าทักษะเราเริ่มอยู่ตัวแล้ว ก็ออกไปเที่ยวทั้งต่างจังหวัดและต่างประเทศ ก็ได้ไปเที่ยวหลายที่เหมือนกันในช่วงที่เป็นนิสิตแพทย์ ในขณะที่ช่วงนั้นเราต้องอ่านหนังสือหนักมากเหมือนกัน แต่ว่าเรามีช่วงปิดเทอมหรือวันหยุดยาวมาช่วยให้เราปลีกตัวไปทำอะไรที่ผ่อนคลายได้บ้าง

ช่วงนั้นก็ยังโพสต์รูปเฉพาะในโซเชี่ยวมีเดียส่วนตัวก่อน แต่ถามว่าจริงจังไหน ผมก็จริงจังนะ เพราะว่าเราจะเขียนเหมือนเป็นการรีวิวจริงๆ เลย เหมือนการที่กับเราโทรไปบอกเพื่อนของเราฟังกัน และมีการทำ Art work เสริมความน่าสนใจเข้าไปด้วย ทำมานานประมาณ 2 – 3 ปี ก็มีคนเชียร์ว่าเมื่อไรจะเปิดเพจสักที แต่ตอนนั้นด้วยความที่ยังเป็นนิสิตแพทย์ มันต้องอ่านหนังสือหนัก แล้วก็รายได้อะไรก็ไม่มี อิสระในการที่จะทำอย่างอื่นมันก็ยากเพราะว่าชีวิตส่วนใหญ่คือการเรียน ก็เลยไม่คิดที่จะทำเพจ จนเรียนจบมาแล้วนี่แหละ จึงตัดสินใจที่จะเปิดเพจ ซึ่งเวลานั้นคนสนับสนุนก็เยอะ แต่ว่าคนที่คิดว่าไม่น่าจะเวิร์คก็เยอะเหมือนกัน แต่ผมก็ไม่ได้ฟัง เพราเรารู้สึกว่าเรามี potential เราก็เลยทำ จนถึงตอนนี้จะเห็นว่าศิลปะอยู่คู่กับผมมาตลอด เพียงแต่มาในรูปแบบที่แตกต่างกันเท่านั้นเอง

#8 | ปัจจุบันใช้กล้องอะไรถ่ายรูป แล้วเทคนิคการแต่งรูปเป็นอย่างไร

สำหรับกล้องที่ผมใช้ตอนนี้ก็จะเป็นพวก Mirrorless ครับ เพราะว่าผมคิดว่ากล้องแบบนี้มันสะดวก น้ำหนักเบา กะทัดรัดเหมาะกับเวลาเดินทางไปเที่ยว อีกอย่างคือเวลาที่เรายกขึ้นมา snap คนเดินไปเดินมามันจะรู้สึกว่าเรามันไม่เล่นใหญ่เกินไป แต่ถ้าเป็น DSLR เนี่ยมันใหญ่มาก ดูจริงจังกว่าเยอะ ดังนั้นถ้าเกิดว่าเราเดินไปตามท้องถนนแล้วเราถ่ายเขาเนี่ย เขาก็อาจจะรู้สึกว่าถูกคุกคามได้มากกว่า ผมเลยรู้สึกว่า Mirrorless น่าจะเหมาะกับงานสตรีทมากกว่า จากนั้นก็เลยไม่ค่อยจับ DSLR สักเท่าไหร่

ส่วนเทคนิคการแต่งรูปนั้นก็เป็นคำถามที่คนในเพจถามกันมาเยอะมากๆ เพราะว่ามีความเฉพาะตัวอยู่สูงครับ รูปของผมจะถูกปรับหลายค่ามาก อาจจะอธิบายให้ชัดเจนไปเลยไม่ได้ แต่โดยรวมแล้วมันจะมีความ contrast สูง shadow ต่ำ สีจะดูสดในระดับหนึ่งแต่ในขณะเดียวกันแล้วมันก็มีความหม่นแทรกอยู่ คือมันมีความขัดกันระหว่างความสดกับความหม่น มันเลยสะดุดตาและชวนให้คนสงสัยว่าตกลงมันหม่นหรือสดกันแน่ เป็นสไตล์ที่สะท้อนตัวผมได้ดีเหมือนกัน

#9 | แล้วรูปภาพรูปไหนที่แจ้งเกิดและทำให้รู้สึกว่าเราเป็นคนดังแล้วนะ

ถ้าถามว่ารูปไหนที่คิดว่าเป็นรูปที่แจ้งเกิด เอาตั้งแต่สมัยก่อนที่เริ่มทำเพจผมคิดว่ามันไม่ได้มีรูปไหนที่ชัดเจนเพราะว่าปกติแล้วผมเป็นคนโพสต์รูปเยอะแล้วก็มันจะมาเป็นเซ็ตมากกว่า มันจะเกิดจากการที่เราลงหลายๆ รูป แล้วรูปเหล่านั้นมันมีความไปด้วยกัน และมีสไตล์ที่ชัดเจน มันกลมกล่อมออกมาเป็นสไตล์มากกว่า ไม่ได้เป็นรูปๆ เดียวที่ทำให้แจ้งเกิดได้ครับ เหมือนสไตล์เราค่อนข้างถูกปรับ ถูกดัด จนกลายเป็นอะไรที่มันคงที่มากขึ้นเรื่อยๆ มากกว่า

แต่ถ้าพูดถึงรูปที่แจ้งเกิดตอนที่เปิดเพจมา ก็ต้องรูปที่ถอดเสื้ออยู่แล้วครับ(หัวเราะ) เพราะว่ามันเป็นรูปที่มีคนแชร์ไปเยอะมาก แล้วก็จะมีคอมเม้นประมาณว่าแปลกใจที่เราถอดเสื้อ ที่เราหุ่นดี คือจริงๆ แล้วก็เป็นตัวดึงกระแสได้เยอะเหมือนกัน แต่ถามว่ามันเป็นสิ่งที่เราจะพรีเซนต์ไหม มันก็ไม่ได้ขนาดนั้น แต่การที่ปล่อยรูปนั้นออกไปผมคิดว่ามันพรีเซนต์อะไรได้หลายอย่าง หนึ่งคือชื่อเพจมันบอกอยู่แล้วว่า Traveller x doctor ก็คือมีความเป็นหมอแล้วก็มีความเป็นนักเที่ยวนักเดินทาง แล้วคอนเท้นนั้นก็เป็นการรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว ดังนั้นการที่จะมีผู้ชายคนนึงที่หุ่นพอประมาณถอดเสื้อโชว์บ้าง ผมคิดว่ามันก็ไม่ได้ดูขัดอะไร ยิ่งถ้ามองให้ลึกลงไปอีกนั้น การที่คนเราจะหุ่นโอเคได้ขนาดนี้ ไม่ใช่เพราะว่าเขาต้องการจะโชว์แบบผิวเผินเท่านั้น แต่มันแสดงถึงการมีวินัยในตัวเองระดับนึงเลยนะ ดังนั้นผมคิดว่าการที่ปล่อยรูปนั้นไปแล้วเกิดการแชร์ต่อในวงกว้างก็เหมือนเป็นการเผยมุมมองส่วนนั้นออกไปด้วย มันอาจจะมีคนที่มองเราแค่หุ่นดีแล้วมาติดตามนะ แต่ผมคิดว่าก็ต้องมีคนจำนวนไม่น้อยเหมือนกันที่เขามองลึกไปว่าคนๆ นี้สื่อสารอะไรที่ลึกลงกว่าแค่เนื้อหนังผ่านรูปถ่ายลงไปได้ ก็ถือว่าคิดไม่ผิดที่ปล่อยรูปนั้นออกไป

#10 | ศิลปะ vs แพทย์ สองอย่างนี้มีอะไรที่เกี่ยวข้องกันบ้าง

จริงๆ แล้วคำว่า “ศิลปะ” กับความเป็น “แพทย์” นั้นมันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกันอยู่บ้างนะครับ เพียงแต่ว่าอาจจะไม่สามารถหาความเชื่อมโยงของมันได้โดยตรง มันเหมือนเป็นการ represent ถึงอะไรที่แตกต่างกันสุดขั้ว แต่สามารถที่จะมาส่งเสริมกันได้ในทางใดทางหนึ่ง ถ้าพูดถึงในแง่ของศิลปะมันก็จะเป็นความ Emotional เป็นหลัก ใช้เหตุผลเป็นเรื่องรองในการสื่อสารสิ่งที่อยู่ข้างในความคิดของเราออกมา ในขณะที่ความเป็นแพทย์มันสุดโต่งมาอีกฝั่งนึง ก็คือต้องใช้เหตุผล ต้องมีหลักการ และทุกอย่างก็ต้องเชื่อมโยงกันได้หมด แต่ทั้งสองอย่างนี้ผมคิดว่ามันควรจะมีอยู่ในตัวของหมอคนนึงเลย เพราะว่าในบางสถานการณ์ บางกรณี เราไม่สามารถที่จะใช้พวกเหตุผลมาจับได้ทั้งหมด

ในการที่เราจะวิเคราะห์คนไข้คนนึงได้มันต้องมองเขาแบบองค์รวม บางทีเราจะมองแค่ตัวโรคเขาไม่ได้ เราต้องมองถึงสิ่งที่มากกว่านั้นไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่เวลาเขาอยู่ที่บ้านเขาเป็นยังไง ครอบครัวเขาเป็นยังไง  ฐานะเขาเป็นยังไง เราต้องจับมารวมทั้งหมดแล้วถึงวินิฉัยออกมาก บางทีเราต้องใช้เรื่องของความรู้สึกเข้ามาจับด้วย บางทีเราไม่ได้มองแค่ว่าเขาเป็นสิ่งของหรือเป็นแบบตัวโรคของมัน แต่เราต้องมองว่าเขาคือคนคนนึง เพราะฉะนั้นอันนี้ผมก็ถือเป็นเรื่องของงานศิลปะ เพราะฉะนั้นแพทย์ที่มีทักษะด้านงานศิลปะ ก็เลยมักจะเข้าใจความรู้สึกของคนไข้ได้เยอะว่า  แต่อันนี้ก็เป็นเพียงแค่ความคิดของผมนะครับ

#11 | การเป็นหมอจำเป็นต้องมี “ศิลปะ” ในการรักษาขนาดไหน

ผมคิดว่าจำเป็นครับ แต่ศิลปะในการเป็นหมอนั้นคงเป็นเรื่องของศิลปะในการสื่อสารมากกว่าการที่จะจับพู่กันวาดรูป เพราะหมอจำเป็นต้องสื่อสารกับคนไข้ ญาติ และเพื่อนร่วมงานให้เข้าใจตรงกันที่สุด โดยเราไม่สามารถที่จะใช้ความรู้ที่อยู่ในหนังสือ พูดออกมาโดยตรงได้เลยโดยไม่คัดกรองหรือเกลาคำพูด ในบางครั้งที่เรารักษาตามขั้นตอนทุกอย่างเป๊ะๆ ทำตามหนังสือทุกอย่าง ใช้ยาทุกอย่างตามที่ควรจะเป็นแล้ว แต่คนไข้ก็ยังไม่หาย มันเพราะอะไร นั่นก็เพราะว่า บางทีเรายังขาดเรื่องการ Communication เรายังขาดศิลปะในการสื่อสาร เรายังขาดมุมมองต่างๆ ที่เราเข้าใจถึงความรู้สึกของคนป่วย

เราอาจลืมคิดไปว่าเวลาที่เขาอยู่ที่บ้าน เขาจะรู้หรือเข้าใจเรื่องที่เราอธิบายไปขนาดไหน หรือในบางกรณีเราก็ไม่รู้ว่าเขาต้องเจอกับความโหดร้ายในชีวิตอะไรมาบ้าง ซึ่งความรู้สึกเหล่านั้นก็ส่งผลต่อการรักษาและฟื้นตัวของคนไข้ แต่จะมีสักกี่คนที่พูดมันออกมาให้หมอฟังเอง ดังนั้นจึงต้องเป็นฝั่งของหมอเองที่ต้องใช้ศิลปะการสื่อสาร ทำอย่างไรก็ได้ให้เขาเปิดใจและพูดถึงเรื่องราวที่มีประโยชน์ต่อการรักษาออกมาอย่างสบายใจที่สุด ซึ่งถ้าเกิดว่าเราไม่ใช้เรื่องศิลปะในการเข้าใจหรือศิลปะในการสื่อสารในการรักษาคนไข้เลย เราก็จะรักษาเขาไม่หายเหมือนกัน ดังนั้นถือว่าสิ่งนี้จำเป็นมากๆ ในการเป็นหมอรักษาคนไข้

#12 | แล้วคิดว่า “ศิลปะ” นั้นช่วยเยียวยาทางฝั่งคุณหมอเองด้วยหรือเปล่า

ผมขอพูดในแง่ของการถ่ายรูปก็แล้วกัน เพราะผมเป็นความชอบส่วนตัวไปแล้ว  ซึ่งผมคิดว่าการที่ได้ออกไปถ่ายรูป ในทุกๆ ครั้งที่ผมเครียด มันก็เหมือนเป็นการเข้าสู่ safe zone ของตัวเอง เหมือนเรามีมุมส่วนตัวที่ว่าเราทำอย่างนี้แล้วเรารู้สึก stable เรารู้สึกว่ามีความสุข พอเรากดชัตเตอร์แล้วเหมือนทุกอย่างที่เรารู้สึกว่ามันเคยเครียด เคยไม่โอเค หรืออะไรก็ตามที่มันคุกรุ่นอยู่ภายใน มันเริ่มดีขึ้น เหมือนเราได้กลับไปในที่ที่เรามีแต่ความสุข แล้วพอเรซึบซํบโมเม้นต์นั้นจนสบายใจแล้ว เราก็ค่อยๆ พาตัวเองกลับไปทำงานใหม่อีกครั้ง จะเรียกว่าศิลปะเป็นยาแขนงหนึ่งก็คงไม่ผิดอะไร

#13 | เคยรู้สึกว่าตัวเองเหมาะกับงานด้านศิลปะมากกว่าการเป็นหมอบ้างไหม

ผมไม่เคยคิดว่าศิลปินจะเป็นอาชีพของผมครับ แต่ผมคิดว่าผมจะเป็นหมอที่เป็นศิลปินได้ด้วยมากกว่า เพราะว่ามันเริ่มต้นจากการที่ผมรู้สึกว่าผมอินกับการเป็นหมอ ผมอยากเป็นหมอตอนที่อยู่ชั้นม.ต้น ตอนนั้นคิดแค่ว่าเพราะเป็นหมอมันเท่ มันแบบได้ช่วยเหลือคนอื่น แล้วมันก็เจ๋งตรงที่ว่าเราไปช่วยปรับเปลี่ยนอนาคตของคนอื่นได้จากคนที่ป่วยอยู่ เจ็บอยู่ ให้กลายมาเป็นคนที่มีสุขภาพดีอีกครั้ง ผมรู้สึกว่าผมอินกับตรงนั้นมากกว่า ก็เลยพยายามทำตามความฝันนั้นมาตลอดครับ

เพราะฉะนั้นถ้าถามว่าเคยคิดอยากเป็นอย่างอื่นไหม ผมแค่คิดว่าผมอยากทำอย่างอื่น แต่ผมไม่เคยคิดว่าอยากจะเป็นอย่างอื่นนอกจากหมอเลย ซึ่งพวกอาชีพที่ผมเคยคิดที่อยากจะทำควบคู่กับการเป็นหมอไปด้วยก็คงเป็นด้านสถาปัตหรือนิเทศนี่แหละครับ จริงๆ มันมันก็มีอยู่ในความคิดเหมือนกันนะ ช่วงเวลาที่เรารู้สึกท้อแท้จากการเรียน รู้สึกว่าเราอ่านหนังสือไม่ไหวแล้ว รู้สึกว่าโง่จังเลยทำไมถึงจำไม่ได้ เราก็แอบคิดว่าถ้าตอนนั้นเราเรียนนิเทศหรือเราเรียนสถาปัตมันจะดีกว่านี้หรือเปล่า แต่สุดท้ายมันจบตรงที่พอเราย้อนกลับไปว่าในอดีตเราเคยมี passion กับการเป็นหมอมากขนาดไหน เราก็ตอบตัวเองได้อยู่เสมอว่าการเป็นหมอนี่แหละที่เหมาะกับเรา พอผ่านมาได้เราก็เข้าใจว่าช่วงท้อนั้นเป็นเรื่องธรรมดาของทุกๆ คนยิ่งในวัยเรียนด้วย แต่มันขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะจัดการกับมันยังไงมากกว่า

#14 | เป็นทั้งหมอ เป็นทั้งนักเที่ยว แบบนี้แล้วจะมีเวลาดูแลตัวเองได้มากน้อยแค่ไหน

จริงๆ ผมค่อนข้างมีวินัยกับตรงนี้มากครับ ผมเข้าฟิตเนสมาประมาณ  7 – 8 ปีแล้ว ตั้งแต่ตอนนั้นก็คือจริงจังแล้วก็ศึกษาด้วยตัวเองคนเดียวแบบไม่มีเทรนเนอร์ด้วย ศึกษาลองผิดลองถูกด้วยตัวเอง ให้ความสำคัญกับการกิน และทำอย่างสม่ำเสมอ จนตอนนั้นเรียกได้ว่าฟิตเนสเนี่ยเป็น priority หลักของผมเลย อาจจะเพราะมันมีไม่กี่อย่างที่ทำตอนปี 1 ไม่ว่าจะเป็นอ่านหนังสือ ทำกิจกรรมคณะ แล้วก็มีฟิตเนสนี่แหละที่ผมต้องทำทุกสัปดาห์ มันเริ่มจากวินัยก่อนครับว่าถ้าเกิดว่าเราจัด priority ให้เราต้องทำ ยังไงมันก็ต้องทำถ้าเกิดว่าคุณมองมันว่าสำคัญ ถ้าเกิดว่าคุณจัดเวลาให้มันได้ คุณก็จะมีหุ่นที่ดี แต่จะเห็นผลได้นั้นก็ไม่ใช่ว่าจะทำไปหนึ่งดือนแล้วจะเปลี่ยนเป็นคนละคน ผมคิดว่าการเห็นผลของการออกกำลังกายมันเห็นยากมากๆ ครับ เพราะว่าไม่ใช่ว่าเดือนสองเดือนมันจะเห็นผล แต่สำหรับผมเองตอนเล่นใหม่ๆ ก็ใช้เวลานานพอตัวกว่าจะรู้สึกว่ามีกล้ามขึ้นมา ดังนั้นคนที่คิดว่าเล่นไปสองสัปดาห์แล้วจะมีกล้ามเลยนั้น มันก็ไม่ใช่นะ สำคัญคือต้องทำอย่างสม่ำเสมอ แล้วถึงเวลาหุ่นดีๆ ก็จะมาเองครับ

#15 | หัวใจหลักในการดูแลและแก้ปัญหาเรื่องหุ่นที่หลายคนเข้าใจผิด

ตราบใดที่เราระลึกได้ว่าสิ่งที่เรากินเข้าไปมันคืออะไร เมื่อนั้นเราจะเริ่มสุขภาพดี เพราะว่าการที่เรามีสติทุกครั้งว่าเรากินอะไร เราจะเริ่มคิดแล้วว่าอาหารตัวนี้มันน้ำตาลเยอะไหม ไขมันเยอะไหม แคลอรี่รวมเท่าไหร่ แล้วมันดีต่อสุขภาพโดยรวมไหม มันมีสารพิษไหม สุดท้ายแล้วมันจะมีอะไรสะสมในร่างกายรึเปล่า คือถ้าเราเริ่มคิดตรงนี้ได้ปุ้บ โอเค สุขภาพเราจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ  

เป็นสิ่งที่ผมบอกตลอดครับเวลามีคนมาถามเรื่องการดูแลหุ่น ผมก็จะถามเขากลับว่าเคยพลิกดูหรือยังว่าหลังซองมันเขียนว่าอะไร มีส่วนผสมอะไร แคลอรี่เท่าไหร่ แ้ลวคิดดูว่ามันเทียบเป็นข้าวกี่มื้อหรือกี่จาน แน่นอนว่าของอร่อยมันจะมาพร้อมกับปริมาณไขมันที่เยอะมากๆ แต่ผมอยากให้คิดว่าความอร่อยนั้นมันเป็นความสุขความฟินเพียง 10 – 20 นาทีหลังกิน แล้วมันก็จบลงไป ไม่นานเราก็หิวเหมือนเดิม เพราะว่ามันเป็นน้ำตาลที่ย่อยเร็วแล้วก็เอาไปใช้ได้เลย มันไม่คงตัวอยู่ในเลือดได้นาน มันทำให้หายหิวได้แปบเดียว ในทางกลับกันถ้าเรากินอะไรก็ตามที่มีกากใยเยอะๆ อย่างขนมปัง หรือว่าพวกผัก ผลไม้ มันจะคุมเรื่องความหิวได้คงตัวและนานกว่า เทียบกับของหวานที่เป็นของหวานรสเดียว ซึ่งตรงนี้ผมคิดว่าสำคัญพอๆ กับการออกกำลังกายเลยนะครับ เพราะว่าถ้าเกิดว่าเราออกกำลังกาย แต่เราไม่คุมอาหารเลย น้ำหนักไม่มีทางลดลงได้เลยนะ ลองคำนวณดูว่า การวิ่งต้องวิ่งแค่ไหนถึงจะเบิร์นได้สัก 300 แคลอรี่ ลองจับเวลาดูแล้วเราจะรู้ว่าแค่เราลดขนม 1 ถุงก็เท่ากับการวิ่งครั้งนั้นแล้ว มันง่ายมากมันคิดตรงไปตรงมา แล้วมันก็จบแค่ตรงนั้น ก็ถ้าคุมอาหารได้ ออกกำลังกายได้ ก็หุ่นดีได้แล้วครับ

#16 | คุณหมอคิดอย่างไรกับการเป็นตัวแทนของผู้ชายผิวแทน

เรียกว่าเป็นตัวแทนมันจะดูให้เกียรติไปนิดนึงนะครับ เรียกว่าเป็นคนผิวแทนคนนึงที่มั่นใจในตัวเองมากกว่า ผมไม่เคยกลัวที่จะพรีเซ้นต์ว่าตัวเองเป็นคนที่ผิวเข้ม เวลาผมถ่ายรูปหรือว่าแต่งรูปอะไรก็ตาม ผมชอบที่จะปรับให้ผิวผมดูเข้มกว่าตัวจริงด้วยซ้ำไป เพราะว่าเรารู้สึกว่าผิวแทนเป็นผิวที่มีสเน่ห์และถ่ายทอดความเป็น Travellers ได้เป็นอย่างดี ใครจะมาแซวเราว่า “เห้ย ทำไมดำจัง” มันไม่เคยกระทบเราได้เลยเพราะเรามั่นใจว่าเรามีดีแบบนี้ แล้วเราก็เกิดมาแบบนี้ เราพร้อมจะพรีเซ้นต์ความมั่นใจในแบบที่เป็นเราครับ ก็อยากฝากถึงทุกคนที่ไม่มั่นใจในสีผิวของตัวเองว่าอย่าไปกังวลกับสิ่งที่เราเปลี่ยนแปลงไม่ได้ สีผิวมันไม่ได้บอกอะไรเลย การเป็นคนที่ผิวขาวไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นคนแบบไหน การที่คุณเป็นคนคุณผิวเข้มก็เช่นกัน มันไม่ได้บอกว่าคุณเป็นคนยังไง สุดท้ายความคิด การกระทำของคุณเองมากกว่าที่จะบอกว่าคุณเป็นคนแบบไหน อย่าให้สีผิวเป็นอุปสรรคในการทำทุกอย่าง

#17 | สไตล์การแต่งตัวฉบับ PYONG: Traveller x Doctor

ผมชอบใส่เสื้อเรียบๆ ผมมีเสื้อเรียบๆ สีเรียบๆ หลายตัวมากในตู้ทั้งสีขาว เทา ดำ สีคราม ทีนี้เวลาผมเลือกใส่ ผมจะเน้นที่การมิกซ์แอนด์แมทช์มากกว่า คือเสื้อผ้าทุกชิ้นสามารถจับชนกันแล้วเกิดเป็นสไตล์ใหม่ๆ ได้หมดดูไม่ซ้ำเหมือนเรามีเสื้อตัวใหม่ตลอดเวลา จะเน้นไปทางนั้นมากกว่าซึ่งเป็นข้อดีของเสื้อผ้าที่มีแพทเทิร์นเรียบๆ แต่มีอีกสิ่งที่ชอบมากๆ ก็คือเครื่องหนัง เรียกได้ว่ามีทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นกระเป๋า รองเท้า นาฬิกา เข็มขัด รวมถึงเครื่องประดับต่างๆด้วย เหตุผลก็เพราะว่ามันเป็นอะไรที่มีสเน่ห์ ยิ่งเวลามันโดนแสงมันจะมีความ shining ดูแล้วก็เท่ดีครับ ถ่ายรูปออกมาก็สวย เสื้อผ้าทุกชุดของผมเลยต้องมีเครื่องหนังจับคู่มาด้วยเสมออย่างน้อยหนึ่งชิ้น

#18 | Dog person VS Cat person

เป็น Dog person ครับ ก็เพราะว่าหมามันน่ารักกว่าตั้งเยอะ มันนิ่งกว่า แล้วมันก็เข้าใจมากกว่า หลายๆ ทีมันเข้าใจถึงความรู้สึกของเรา ช่วยเยียวยาเราได้ อีกอย่างก็คือหมามันยิ้มง่าย ผมจะไม่ค่อยเจอหรือเห็นว่าแมวมันยิ้มนะ อย่างหมาเนี่ยเวลามันยิ้มแล้วโลกสดใสมาก เพราะฉะนั้นก็จะชอบหมามากกว่า พันธ์ที่ชอบที่สุดก็คือชิบะ

#19 | ฝากผลงานกับช่องทางการติดตามสักหน่อย

ตอนนี้ก็ไปติดตามผลงานของผมได้ที่เพจ PYONG: Traveller x Doctor เป็นเพจ Men’s lifestyle & travel ยังไงก็ลองเข้าไปติดตามกันดูก่อนนะครับ ก็จะเป็นผมเล่าเรื่องต่างๆ ที่ผมเจอมาในแต่ละวัน ว่าไปเที่ยวที่ไหน ไปกินอะไร แล้วก็มีรูปสวยๆ มาประกอบให้ดูกันด้วย หวังว่าจะชอบกันครับ อีกช่องทางนึงก็จะเป็นทางอินสตาแกรม @pycaptain ก็ไปตามดูได้เหมือนกัน 

ก่อนจากกัน MOVER ขอฝากไว้ว่าขนาดคุณหมอมีตารางงานยุ่งขนาดนี้ยังสามารถแบ่งเวลามาทำตามความชอบอย่างการท่องเที่ยวและถ่ายรูป รวมถึงดูแลตัวเองให้มีร่างกายที่แข็งแรงได้ขนาดนี้ ดังนั้นคุณเองก็สามารถที่จะลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงตัวเองและทำตามสิ่งที่ใจต้องการได้ไม่ยากเลย


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com
Tags
waritto

it's not too late to MOVE forward.

  • 1