Type to search

Interview

“มีมี่ เทา” นางแบบข้ามเพศไทยคนแรก แห่ง Project Runway

Share

การเป็นนางแบบภายนอกอาจจะดูสวยหรู แต่ความเป็นจริงแล้ว กว่าที่พวกเธอจะก้าวขึ้นมาเดินบนแต่ละรันเวย์ได้ไม่ใช่เรื่องง่าย! โดยเฉพาะสำหรับ พชรณัฏฐ โนบรรเทา หรือ มีมี่ เทา เด็กต่างจังหวัดที่ไล่ตามความฝันในการเป็นนางแบบ ถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยเพศสภาพและรูปลักษณ์ที่ไม่เป็นที่นิยม จนวันนี้เธอเอาชนะอุปสรรคต่างๆ และคำดูถูกเหยียดหยามจากบุคคลรอบข้างขึ้นมาเป็นนางแบบระดับโลก

Mover ขอพาคุณมารู้จักกับเธอให้มากขึ้นส่งท้ายเดือนแห่งชาว LGBT ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ

นางแบบข้ามเพศคนแรกใน Project Runway

ที่มาของ Mimi Tao

“มีมี่ เทาเป็นชื่อที่เราตั้งเอง ชื่อจริงคือเดี่ยว พชรณัฏฐ โนบรรเทา แต่พอเรามาเป็นนางแบบที่ต่างประเทศ เราอยากให้เขาจดจำ เราเลยเปลี่ยนมาเป็นชื่อที่จำง่าย ที่บ้านส่วนใหญ่ชื่อขึ้นต้นด้วยม.ม้ากัน เราก็เลยเปลี่ยนเป็นมีมี่ ส่วนคำว่าเทามาจากนามสกุลเรา รวมกันเป็นมีมี่ เทา”

รายการ Project Runway

“เมื่อสองปีก่อน เราได้มีโอกาสไปทำงานที่นิวยอร์ก ระหว่างที่อยู่ที่นั่นเราก็ไปแคสติ้ง ที่รายการ Project Runway ซึ่งจะเปิดแคสต์ทุกๆ ซีซั่น เราก็ไปเรื่อยๆ ไปแล้วไปอีก จนเห็นอะไรในตัวเรา อาจจะเป็นด้วยลุคของเราหรือความพยายามของเรา ทำให้ในที่สุดเขาก็เลือกเรา”

ท่าเดินสุดแปลกที่เป็นที่จดจำ

FashionStock.com

“ท่าเดินที่เป็นที่จดจำของหลายๆ คนคือท่าเดินในโชว์ของ Marco Marco ซึ่งเป็นโชว์แรกของเราใน New York Fashion Week เลย เรารู้สึกดีใจมากที่ได้รับเลือกในการเดินแบบให้แบรนด์ Marco Marco เพราะในอเมริกา แบรนด์นี้ได้รับสมญานามว่าเป็น Victoria’s Secret ของเพศทางเลือก โดยดีไซเนอร์บอกว่าให้เราทำอะไรก็ได้เพื่อให้โลกจดจำจึงเป็นที่มาของท่า นอกจากนี้เราก็เคยตีลังกาในงานอื่นด้วย”

การเดินแบบในไทย

@Mimi_Tao

“เราได้มีโอกาสเดินรันเวย์ระดับโลกมาหลายเวทีเลย ไม่ว่าจะเป็นลอสแอนเจลิส นิวยอร์ก หรือไมอามี แต่การเดินแบบที่เราประทับใจที่สุดคือการเดินแบบให้แบรนด์ ISSUE ในงาน Bangkok Fashion Week เชื่อไหม ตลอด 9 ปีที่เราเป็นนางแบบ เราถูกปฏิเสธงานในไทยตลอด พอเราได้รับเลือกให้เดินในงานนี้ เราเลยดีใจและประทับใจมาก เพราะสำหรับเรางานนี้เป็นจุดเล็กๆ ที่ทำให้เห็นว่าสาวประเภทสองกำลังเป็นที่ยอมรับในเมืองไทย”

กะเทยกับอาชีพนางโชว์

“เราเลือกที่จะเป็นนางแบบเพราะอยากเป็นที่ยอมรับ เราโตมาในยุคที่สังคมตีกรอบว่ากะเทยต้องเป็นตัวตลกของสังคม อยู่ได้แต่เบื้องหลัง ไม่สามารถขึ้นมาอยู่บนหน้าจอได้ ทั้งที่จริงๆ แล้วในวงการบันเทิงเองก็มีกะเทยอยู่เยอะมาก ทั้งช่างแต่งหน้า ช่างทำผม สไตลิสต์ แต่แบบเราจะเห็นกะเทยไม่กี่คนที่สามารถออกมาอยู่ที่หน้าจอได้ มันก็เลยกลายมาเป็นแรงผลักดันอย่างหนึ่งที่ทำให้มี่อยากเป็นนางแบบ อยากเป็นที่ยอมรับของคนอื่นๆ ในสังคม”

 

เส้นทางที่ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบของ ‘มีมี่ เทา’

 

“พอเราจบ ป.6 ที่บ้านก็ประสบปัญหาทางการเงิน ทำให้เราตัดสินใจบวชเรียนตั้งแต่ช่วงม.1 จนถึงม.6 ระหว่างนั้นเราได้ใช้ชีวิตอยู่กับตัวเอง ได้รู้จักตัวเองมากขึ้น จนเรารู้ว่าเราเป็นอะไรและอยากเป็นอะไร พอจบม.6 เราก็สึกออกมา”

“ตอนที่เราสึกออกมาใหม่ๆ เราตัดสินใจเป็นนางโชว์ที่คาบาเร่ต์โชว์ เพราะอาชีพสำหรับสาวประเภทสองอย่างเราในตอนนั้นมีให้เลือกไม่มากนัก แต่ก่อนที่เราจะได้เป็นนางโชว์ เราต้องฝึกซ้อมอยู่ประมาณสองเดือน ซึ่งในสองเดือนนั้นไม่มีเงินให้ มันค่อนข้างหนักสำหรับเราที่ไม่ได้มีฐานะ พ่อแม่เราก็ไม่ได้ซัพพอร์ท เราต้องเดินหาเศษเหรียญตามท้องถนน ควักหาเศษเหรียญตามตู้โทรศัพท์หยอดเหรียญ บางวันเราไม่มีเงินกินข้าวด้วยซ้ำ เราต้องเดินไปขอข้าวกินที่วัด ตอนนั้นมันลำบากมาก แต่ว่ามันทำให้เราเข้มแข็งจนมาถึงทุกวันนี้ได้”

“ระหว่างที่ทำงาน เราก็ได้รู้ว่าจริงๆ เราอยากเป็นนางแบบ หลังจากทำงานมาประมาณหกเดือน เราก็ตัดสินใจเข้ามาเป็นนางแบบในกรุงเทพฯ แต่ก็ไม่มีใครยอมรับกะเทยที่อยากจะเป็นนางแบบอย่างเรา  อาจจะเป็นเพราะเรื่องหน้าตาที่ไม่ใช่พิมพ์นิยมด้วย เราถูกปฏิเสธซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเราตัดสินใจที่จะไปเป็นนางแบบที่ต่างประเทศ เริ่มจากที่สิงคโปร์แล้วก็นิวยอร์ก”

มีทุกวันนี้ได้เพราะการดูถูก

“การกลั่นแกลงดูถูกเป็นเรื่องปกติสำหรับสังคมเมืองไทยซึ่งไม่ใช่เรื่องดีเลย เราโดนมาตั้งแต่เด็กจนโต แต่เราเลือกที่จะไม่เก็บมาใส่ใจ เราเลือกรับฟังในสิ่งที่ดีๆ เรื่องที่ไม่ดี เราไม่ค่อยเก็บมาใส่ใจ แต่คำพูดที่ฝังใจเราคือ ‘กะเทยไม่มีวันได้ดี’  กะเทยก็แค่พวกกะเทยที่แบบไร้สาระไปวันๆ คำพูดดูถูกพวกนี้เป็นแรงผลักดันให้เรา อยากจะสู้ให้ประสบความสำเร็จ”

กล้าที่จะยอมรับตัวเอง

“เริ่มแรกสำหรับการเป็นนางแบบของเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ มันคือหนามกุหลาบล้วนๆ เพราะว่าคนที่อยากเป็นนางแบบ ส่วนใหญ่จะค่อนข้างมีฐานะ มีพ่อแม่คอยซัพพอร์ท แต่สำหรับเราแล้ว ไม่ใช่เลย เวลาเพื่อนๆ นางแบบนัดไปกินข้าวที่สยาม เราได้แต่บอกเพื่อนว่าไม่เป็นไร เราต้องรีบกลับบ้าน ความจริงคือเราไม่มีเงิน เพราะข้าวที่สยามอย่างน้อยก็ต้องมื้อละสองร้อยสามร้อยแล้ว เราไม่มีเงินขนาดนั้น”

“แต่ว่ามันก็คือตัวเรา เราต้องยอมรับตัวเรา ไม่ใช่พยายามปฏิเสธว่าแบบเรามีเงิน เราเป็นคนรวยหรือทำตัวว่าเป็นคนมีเงิน เพราะถึงแม้เราจะมีไม่เท่าเขา เราก็ต้องสู้ เรามองว่าอุปสรรคมันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ถ้ามัวแต่ไปคิดว่าเรามีไม่เท่าเขา เราทำไม่ได้เท่าเขา เราก็จะยิ่งดาวน์ เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ว่าเรามีไม่เท่าเขาก็ไม่เป็นไร อย่างน้อยอุปสรรคพวกนี้ก็ทำให้เราเข้มแข็งขึ้น”

ท้อได้แต่อย่าถอย

“เราเหนื่อย เราท้อเหมือนกับทุกคนแหละ เราก็มีเคยตั้งคำถามว่าเราจะผ่านปัญหาเหล่านั้นไปได้ไหม แต่การที่เราบวชเรียนมา 6 ปี ทำให้เรามีความคิด มีสมาธิอยู่กับตัวเอง ไม่ย่อท้อต่อความยากลำบาก กว่าจะมาถึงจุดนี้ได้ เราคิดว่าการดีลกับความคิดตัวเองเป็นสิ่งสำคัญ เราไม่พยายามเก็บเรื่องไม่ดีกลับมาคิดมาก บางคนพอโดนล้อหรือโดนปฏิเสธหน่อยก็ท้อแล้ว แต่สำหรับเรา เรามองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอุปสรรคที่มาทดสอบเรา มันทำให้เราแข็งแกร่งขึ้น ทำให้เรารู้สึกมีค่ามากขึ้น”

กำลังใจเป็นสิ่งสำคัญ

“เราเป็นคนที่ค่อนข้างใกล้ชิดกับครอบครัว เราคิดว่ากำลังใจจากครอบครัว กำลังใจจากแฟนคลับหรือสิ่งดีๆ ที่สามารถเก็บมาเป็นพลังบวกได้ อย่างเช่นพวกคอมเมนต์ในเฟซบุ๊ก เราไม่เคยโกรธคนที่ว่าเราหรือด่าเรา เพราะเราสามารถดึงสิ่งเหล่านี้มาเป็นพลังขับเคลื่อนไปถึงจุดมุ่งหมายได้ ยิ่งเราไปโกรธหรือใส่ใจกับมัน มันก็ยิ่งทำให้เราดาวน์”

3 ข้อต้องมีถ้าอยากเป็นนางแบบ

“สำหรับน้องๆ ที่อยากจะมาเป็นนางแบบ อันดับแรกเลย พี่อยากจะให้เราเตรียมร่างกายให้พร้อม เพราะสำหรับการเป็นนางแบบ รูปร่างสำคัญมาก”

“อันดับที่สองคือความพร้อมในการเดินแบบ การที่เราจะเป็นนางแบบ เราก็ต้องเดินแบบได้ บางคนอาจจะคิดว่าการเป็นนางแบบมันง่ายมาก ก็แค่เดินแบบ ก็แค่ถ่ายแบบสวยๆ แต่ความจริงมันก็ต้องมีทักษะ มีเทคนิคเหมือนกัน อย่างตอนเด็กๆ เราดู America’s Next Top Model เราก็จำการการเดิน การโพส และการใช้อินเนอร์มาใช้ เรียกได้ว่า Tyra Banks เป็นครูสอนเดินแบบคนแรกของเราเลย”

“สิ่งสุดท้ายที่สำคัญที่สุดคือความคิดของเรา เราต้องคิดบวก เพราะการถูกปฏิเสธเป็นเรื่องธรรมดามากในวงการที่มีการแข่งขันสูง เราท้อได้แต่เราก็ต้องสู้ต่อ การที่เรามีอุปสรรคมากๆ มันทำให้เราเข้มแข็งขึ้น มันไม่มีอะไรที่ได้มาง่ายๆ ทุกอย่างต้องใช้ความพยายาม เราไม่จำเป็นต้องเอาความคิดลบๆ มาบั่นทอนจิตใจเรา เราควรฟังคนที่เขาให้กำลังใจเรา คนที่เพิ่มพลังบวกให้เรา ลืมสิ่งที่ไม่ดีไปซะ แล้วก็พยายามรับสิ่งดีๆ เข้ามา มันจะทำให้แบบว่าเราก้าวต่อไปได้”

ยุ้ย รจนา

“แรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากที่จะไปถึงฝันได้คือคุณยุ้ย รจนา เพชรกัณหา เขาเป็นแรงบันดาลใจที่ทำให้เราอยากเป็นนางแบบ อยากจะประสบความสำเร็จ อยากที่จะ come out ออกมา สักวันหนึ่ง เราอยากจะเดินแบบกับเขา เราพยายามฝึกฝนด้วยตัวเองมาจนถึงทุกวันนี้ก็เพราะเขา”

ความภูมิใจ

“เราภูมิใจในตัวเอง เราดีใจที่เรื่องราวของเราเป็นแรงบันดาลใจให้กับน้องๆ หลายคน ไม่ใช่แค่น้องๆ LGBT เราดีใจมากเวลาที่มีน้องเข้ามาขอถ่ายรูป มีคนอินบอกซ์เข้ามาบอกว่าเรื่องราวของเราเป็นแรงบันดาลใจให้เขาสู้ต่อไป เราดีใจจริงๆ”

อีก 10 ปีข้างหน้า

“ตอนนี้เราตั้งเป้าว่าอีกสองปีข้างหน้า เราจะทำงานในวงการภาพยนตร์ที่อเมริกา แต่สำหรับ 10 ปีข้างหน้า เราอาจจะมีธุรกิจสักอย่างหนึ่งเป็นของตัวเอง เป็นธุรกิจที่ช่วยเหลือสังคม ช่วยเหลือคนในหมู่บ้าน เพราะเราเองก็มาจากครอบครัวที่ยากจน เราเลยรู้ว่าการที่เรามีโอกาสแต่เราไม่มีเงิน มันลำบากแค่ไหน เราเลยอยากจะทำธุรกิจช่วยเหลือสังคม ช่วยให้คนที่เขายากจนมีความรู้ มีงานทำ”

 

“ถ้าเราอยากจะประสบความสำเร็จ เราต้องลงมือทำ การลงมือทำมีผลลัพธ์แค่สองอย่าง ก็คือสำเร็จกับไม่สำเร็จ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลย มีแค่อย่างเดียวคือไม่สำเร็จ”

ติดตามก้าวต่อไปของเธอได้ที่ Instagram: @Mimi_Tao

……………………………………………………….

SPECIAL THANKS
ช่างภาพ : พิช แก้วพิกุล
สไตลลิสท์ : พงศกร ชวนบุญ
แต่งหน้า : ปลื้มกมล อินทร์ปรุง
วิดีโอ : ปรมภัทร ผูกทอง
นางแบบ : มีมี่ เทา
ผู้ช่วยสไตลลิสท์ : แสงแข พรหมประดิษฐ์
ผู้ช่วยช่างภาพ : ณัฐธิดา ศาสตร์ยุทธ, ชวนะ คุตตะธรรมะกถ
เสื้อผ้า : Pinky TailorPattric Boyle

 


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com
Tags