Mover ขอร่วมเฉลิมฉลองการเปิดกว้างทางเพศและการยอมรับซึ่งกันและกัน ใน “Pride month” หรือช่วงเดือนมิถุนายน กับคอลลัมน์ 10 Things About Her ที่จะพาทุกคนมาพบกับ ‘นลิน’ กัญญ์นลิน เสถียรุจิกานนท์
นางแบบสาว LGBT ที่ได้โอกาสไปร่วมงานกับแบรนด์แฟชั่นชื่อดังของต่างประเทศมาแล้วมากมาย พร้อมกับบทสัมภาษณ์ถึงจุดยืนและมุมมองเรื่องเพศของเธอคนนี้บอกได้คำเดียวว่า REAL ที่สุดในขณะนี้
สวัสดีค่ะ นลินนะคะ ชื่อจริงกัญญ์นลิน เสถียรุจิกานนท์ ตอนนี้เป็นนางแบบค่ะ แล้วก็มีงานอดิเรกเป็นช่างภาพด้วย
#1 ที่ยืนของสาวประเภทสองในโลกแฟชั่น เรื่องเพศมาทีหลัง แค่คาแร็คเตอร์โดดเด่นก็พอแล้ว จริงหรือ?
ตอนนี้นลินคิดว่าเรามีที่ยืนมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน เราได้เห็นสาวประเภทสองในวงการแฟชั่นเยอะขึ้น ทั้งด้าน commercial แฟชั่นโชว์ หรือ lookbook อะไรต่างๆ มันก็มีมากขึ้น แต่พอเอาเข้าจริง เราได้มามีประสบการณ์ เราจะรู้ว่าที่ยืนจริงๆ มันมีน้อยมาก แล้วมันยากมากที่จะมาทำงานตรงนี้ เคยได้ยินลูกค้าพูว่าถ้าเอาเราเอาผู้หญิงแท้ดีกว่าไหม ซึ่งมันก็ทำให้เราท้อแต่ไม่ได้ถอยอ่ะค่ะ แต่มันก็เป็นคำพูดที่ทำให้เรารู้สึกแย่ แต่เราก็ keep going ค่ะ คำพูดเดียวไม่สามารถทำลายสิ่งที่เราทำมาทั้งชีวิตค่ะ
ส่วนเรื่องคาแร็คเตอร์โดดเด่น นลินว่าพอนะ แต่ส่วนใหญ่สาวประเภทสองอย่างเราต้องพยายามสร้างคาแร็คเตอร์ตามที่สังคมอยากให้เป็นเพื่อให้ทำงานง่ายขึ้น ส่วนใครที่จะ shine character จริงๆ ออกมาได้ นลินคิดว่าเราก็ต้องเจ๋ง ต้องกล้าพอที่จะเป็นตัวเอง ลูกค้าต้องชอบฉันในมุมที่ฉันเป็น ซึ่งมันก็ท้าทายดีว่าลูกค้าบางคนเค้าก็อาจจะไม่ได้ชอบอย่างเช่นเราเป็นต้น ลุคดูแรง ฮาร์ดคอ มีรอยสักด้วย ทำไมถึงมีรอยสัก ทำไมถึงสัก ทำไมถึงผมทรงแบบนี้ ซึ่งเราคิดว่าอย่างน้อยเลยในชีวิตเรา ช่วงเวลาวัยรุ่นเราก็ได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำจริงๆ ไม่ใช่ทำเพราะว่าเราต้องทำ คิดว่าตอนนี้มีความสุขมาก ตัดผมเป็นผมสั้นทรงผู้ชายค่ะพูดง่ายๆ โดนแซวเป็น เสก โลโซ แลมโบ้อะไรต่างๆ แต่เราคิดว่าก็ไม่หนิ ลูกค้าก็เข้าใจนะ ท้าทายดีที่เราแบบเป็นสาวประเภทสองแล้วตัดผมทรงผู้ชาย แต่งตัวเป็นผู้ชายอีก คนก็สับสนแล้วนะ แต่คนที่เค้าเข้าใจเราเค้าก็จะพูดว่ามึงกล้ามาก ซึ่งเราก็คิดว่าใช่กูกล้ามาก อะไรอย่างนี้เป็นต้นค่ะ
#2 LGBT ถ้าอยากดังเปรี้ยง! อยากได้รับการยอมรับ ต้องแรงหรือต้องตลกเสมอไป?
เราคิดว่า ของเราไม่ แต่คนส่วนใหญ่ ทุกคนต้องการโอกาสหรือที่ยืนเหมือนกันหมด ดังนั้นเราคิดว่าสิ่งที่เรามองเห็นมากกว่า 70% LGBT ต้องตลกต้องฮาเนี่ย เป็นเพราะสังคมอยากให้เราเป็นแบบนั้น สังคมอยากเห็นในมุมมองที่คิดว่า LGBT ควรจะเป็น แต่ที่จริงมันไม่จำเป็น เพราะเราก็มีบุคลิกที่แตกต่างกันออกไปเหมือนผู้ชายจริงผู้หญิงแท้ มีรัก โลภ โกรธ หลง มีหัวเราะ มีร้องไห้ บางวันก็อาจจะไม่ฮาเสมอไป หรือที่จริงเขาอาจไม่ได้เป็นคนฮาเลยด้วยซ้ำ แต่คาแรคเตอร์ที่เขาต้องทำมันเป็นเพราะงาน ที่จริงนลินคิดว่าทุกคนมีสิ่งที่โดดเด่นมากกว่าความตลกอีกค่ะ เรามีความสามารถที่มากกว่านั้น การพูดจาอะไรแล้วตลก อันนั้นก็อาจจะเป็นพรสวรรค์นะ
#3 ทำไมถึงกล้าฉีกลุค ฉีกคาแรคเตอร์ ให้ต่างไปจากทรานส์คนอื่นๆ
ที่จริงไม่ได้ฉีกมากนะ ต่างประเทศเค้าค่อนข้าง open mind กว่าเราเนอะ แต่สำหรับประเทศไทยเรามันยังเป็นเรื่องใหม่ สำหรับคำว่าทำไมเราถึงไม่เป็นแบบที่คนอื่นเค้าเป็น นลินเคยเป็นแล้ว ไว้ผมสั้น ผมยาว ดูคิม คาร์ดาเชียน ดูพี่ปอย ตรีชฎา ก็อยากเป็นเค้า ตอนนั้นหลงทาง เห็นใครก็อยากเป็นไปหมด ไอดอลเหมือนเป็นเครื่องรางของเราเลยว่าเราต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ง่ายๆ พี่ปอยเค้าก็เป็นคนที่มีอิทธิพลทางสังคม เป็น trendsetter ที่เป็นตัวอย่างที่ดี เราก็มองเลย อยากขาว โอเคไม่เคยฉีดผิว แต่มีกินวิตามิน ดูแลตัวเอง พอดูแลตัวเองจริงจังมันก็ขาวนะ ขาวขึ้นปุ๊บผมก็ต้องยาว แต่งตัวเซ็กซี่หน่อย พยายามแล้วลองแล้วแต่เราก็คิดว่ามันโคตรไม่ใช่เราเลย กลับบ้านมาเหนื่อย ล้างหน้าเสร็จก็คิดว่านี่แหละเรา ลองเป็นตัวเองดีกว่าไหม เลยตัดผมเลย ทรงสิ่งที่เราชอบ หรือกลับมาแต่งตัวแมนๆ นิดนึงดีกว่าซึ่งมันก็เวิร์ค ทุกวันนี้คือแฮปปี้ค่ะ พอเรามีคาแร็คเตอร์ฉีกในความเป็นตัวเองมันก็จะเป็นธรรมชาติ มั่นใจ พอมั่นใจปุ๊บลูกค้าเค้าเห็นก็อยากจ้าง ซึ่งนลินก็ยังมีงานที่ลูกค้าเค้าเข้าใจเราแล้วเห็นในสิ่งที่คนอื่นอาจจะยังไม่เห็น ซึ่งตรงนั้นก็ขอบคุณมากๆ ที่ให้โอกาสเราได้มีงานมาจนถึงจุดนี้ ไม่งั้นเราก็ไม่มั่นใจถึงขั้นวันนี้ค่ะ ยังเป็นแบบคนที่ยังหลงทาง ยังอยากเป็นคนอื่นอยู่ ทั้งๆ ที่เราอยากเป็นเรา แต่ก็ยังไม่กล้า มันต้องการคนเชื่อเราจริงๆ อ่ะค่ะ ครอบครัว หรือเพื่อนก็ด้วย อย่างน้อยเพื่อนเราก็มองเราเป็นคนปกติอยู่ ซึ่งนลินโชคดีมีเพื่อนที่แบบนี้
#4 เดี๋ยวนี้สังคมไทยฉายสป็อตไลท์ลงมาที่เพศทางเลือกมากขึ้น LGBT ทำอะไรก็รุ่งไปหมด จนบางครั้งผู้หญิงผู้ชายก็ไม่มีแววดังเลย” คิดยังไงกับคำพูดนี้?
จริงๆ แล้วเราไม่ได้บอกว่าผู้หญิงผู้ชายไม่มีความสามารถนะคะ ทุกคนมีความสามารถ แต่ที่ยืนทางสังคมของ LGBT อย่างเรามันน้อยจริงๆ ซึ่งเมื่อมันน้อยเราก็เลยพยายามมากขึ้น อะไรที่เราทำได้เราทำมากกว่าคนอื่น 2 เท่าเลย เราไม่ได้บอกว่าคนอื่นทำน้อยนะ แต่เรารู้ว่าเราทำมากขึ้น คือบางคนพูดแค่อยาก แต่สำหรับเรานะ สำหรับเพศทางเลือกรอบๆ เรา เราเลยเรารู้ว่าเขามีความพยามยามมากกว่าคนอื่น อย่างเช่นพูดง่ายๆ เรื่องรายการทีวี ทำยังไงให้เราได้ไปยืนตรงนั้น เรียกเสียงกรี๊ด เสียงหัวเราะ หรือเรียกเรตติ้งได้ เราก็จะต้องพยายามให้มากขึ้น อย่างนลินก็ศึกษาเหมือนกัน ทำยังไงให้ได้เป็นนางแบบอย่างทุกวันนี้ หรือแม้กระทั่งช่างภาพ เราอาจจะมีประสบการณ์น้อยแต่เราชอบ เราก็ศึกษา ทำยังไงล่ะให้เราถ่ายรูปได้ อย่าพูดแค่ว่าอยากค่ะ เราต้องทำเลย ไม่ใช่แค่อยากและไม่ทำ ซึ่งเราคิดว่า LGBT เนี่ย พอเรามีที่ยืนน้อยปุ๊บ เราเลยต้องอยากและทำด้วย พยายามก่อนถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จ เราก็คิดว่าไม่ใช่ชะตาเรา ไม่ใช่ทางของเราละ เริ่มใหม่ทางอื่น หรือถึงทำไม่สำเร็จ ทำอีกก็ได้ แล้วแต่ความคิดคนค่ะ
#5 คำจำกัดความเพศวิถีทั้งหลายในสังคมไทยมันเยอะไปหมด กะเทย เกย์ เก้ง กวาง ทอม ดี้ เชอรี่ ฯลฯ จนเหมือนว่าสังคมเราโฟกัสกับการที่ต้องมี label ให้กับทุกอย่าง
มันคือเรื่องจริงค่ะ เพราะเราก็โดนใช้คำพวกนี้เรียกมาเหมือนกัน เอาง่ายๆ อย่างคำว่า “ตุ๊ด” ตั้งแต่เด็กๆ โตขึ้นพอผมยาวปุ๊บ จะเปลี่ยนคำเรียกเป็นกะเทย ซึ่งเราก็รู้สึกไม่ดีนะ แบบอ้าวทำไมฉันต้องมี catgotory ล่ะ ทำไมต้องโดนจำกัดความเฉยเลย เราก็รู้สึกไม่ดีกับคำเรียกพวกนี้หรอกค่ะ แม้กระทั่งภาษาอังกฤษคำว่า Ladyboy คาดว่าฝรั่งไม่ได้คิดนะคะ คำนี้คนไทยคิดเอง มันก็เป็นคำที่ได้ยินทุกครั้ง ก็รู้สึกแย่ทุกครั้ง ก่อนหน้านี้มันก็จะมีคำเรียกว่า LGBT, Queer หรือ Transgender มันก็จะเป็นคำที่สุภาพหน่อย เป็นเรื่องจริงนะที่คนไทยชอบคิดคำมาเรียกเหลือเกิน มีเพศใหม่ๆ เกิดขึ้นมาเยอะแยะ ซึ่งนลินไม่รู้ด้วยซ้ำว่า อ้าวมีด้วยเหรอ บางทีคนที่เป็นยังไม่ทันรู้เลย นี่ฉันเป็นเชอร์รี่หรือวะเนี่ย หรือฉันเป็นดี้เฉยๆ เลย
อย่ามาตั้งชื่อให้รสนิยมทางเพศเลย มันไม่จำเป็นต้องมีคำจำกัดความหรอก อีกอย่างรสนิยมทางเพศทุกคนหรือแม้กระทั่งเราเองมันมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอด มันคือความรู้สึก ความอ่อนไหว หรืออย่างน้อยเวลาจะเรียกใครด้วยคำจำกัดความว่าอะไร ก็ต้องคิดก่อนพูดว่าเรียกแล้วเขารู้สึกดีหรือเปล่า หรืออย่าง อีดี้ อีตุ๊ด อีกะเทย ไปเรียกเขาอีด้วยนะ มันคือการเหยียดด้วยคำพูดนะ ตอนแรกเราไม่รู้ แต่พอเราเป็นแบบนี้เราถึงรู้ไงว่าเขารู้สึกยังไง ทำไมมันถึงเป็นเรื่องใหญ่ระดับโลก
จริงๆ แล้วที่เมืองนอกเค้าจะถามก่อนนะว่าคุณเป็นอะไรเหรอ จะได้เรียกหรือปฏิบัตต่อเราให้ถูกต้อง เคารพซึ่งกันและกัน ตอนแรกที่เราเดทกับฝรั่งเขาก็ถาม ตอนนั้นคิดว่าถามฉันทำไม ฉันไม่เหมือนผู้หญิงเหรอ แต่กลับกลายเป็นว่ามันดีซะกว่า ถามเราเลยว่าเราเป็นอะไร ผู้หญิงหรือเปล่า เราก็โอเค NO ก็คือรู้กัน
#6 เคยคิดสักครั้งไหมว่าการเป็นกะเทยมันเป็นปมด้อย
เคย จากสังคมเลย ขอโทษสังคมเลย เพราะเราโตมาและเราเจออะไรแบบนี้ งานก็ไม่มีให้ทำ เมื่อก่อนจะโดนเรียกเป็นเกย์ ผมสั้น คุณเป็นเกย์หรอ No ไม่ได้ เดี๋ยวมาสร้างความเดือดร้อนให้เขา แม้แต่งาน part time ยังมีปัญหาเลย ไม่รู้จะให้เราไปอยู่ mode ผู้หญิง หรือ mode ผู้ชาย สรุปไม่รับ ก็เลยคิดว่าการเป็นแบบนี้รู้สึกแย่จัง เข้าแถวเพื่อนผู้ชายก็บอกมึงไปอยู่แถวผู้หญิงดิ แต่ผู้หญิงบอกมึงเป็นผู้ชาย อะไรแบบนี้ มีปัญหาตลอด โดนล้อ คิดว่าแบบทำไมกูไม่เกิดเป็นผู้ชายไปเลยวะ แต่พอวันหนึ่งที่เราได้รับการยอมรับนิดหนึ่ง เรารู้สึกเลยว่านี่แหละคือแรงผลักดัน เราคิดว่าเรามีความสามารถ มีพรสวรรค์ มาคิดว่าเราทำอะไรได้บ้างล่ะ แล้วคนที่เห็นค่าเราเสมอมันมีครอบครัวละ โชคดีที่คุณแม่ไม่เคยพูดเลยว่ากลับไปเป็นผู้ชายไหม ไม่เคย นี่อาจจะเป็นหนึ่งสิ่งที่นลินเกิดมาพร้อม เป็นความสุขและเป็นสิ่งหนึ่งที่ซัพพอร์ตเรามาตลอด เป็นก็เป็นไปเป็นคนดีของสังคมก็พอคำนี้นี่แบบ เชยมาก แต่เป็นคำที่เราได้ยินแล้วรู้สึกมีความหมายมากๆ
ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ นลินก็ยังเลือกเป็นแบบนี้อยู่นะ เราไม่ได้เลือกเกิดนะ แต่ข้างบนเค้าให้เราเป็นแบบนี้ มันอยู่ที่การดำเนินชีวิตมากกว่า ว่าแล้วถ้าเป็นแบบนี้เราจะทำชีวิตอย่างไร ไม่อยากเปลี่ยนอะไรเลยด้วยซ้ำ แม้กระทั่งช่วงเวลาร้ายๆ ที่ผ่านมา คิดว่านั่นแหละเป็นบทเรียนที่ทำให้เราเข้มแข็งมากขึ้น ไม่รู้นะถ้าเราเจอแต่สิ่งดีดีในชีวิตเราอาจจะโคตรอ่อนแอเลยก็ได้ ทุกวันนี้เจอคำพูดอะไร แคนเซิลงานเพราะเรื่องเพศ ก็เข็มแข็ง โอเค ยอมรับ แต่จากวันนี้ไปก็อยากทำให้มันดีขึ้นกว่านี้เท่านั้นเอง
#7 ชอบส่วนไหนในร่างกายตัวเองมากที่สุด
ชอบตา เพราะเป็นคนตาไม่เท่ากัน ตอนแรกไม่กล้าสบตาใครแล้วต้องใส่คอนแทคเลนส์ปิดตาจริงตลอดเวลา จนกระทั่งมันอักเสบ นอนแล้วมันก็ปวด บางวันไปนอนบ้านเพื่อนแล้วไม่มีตลับคอนแทคเลนส์ก็ใส่ค้างคืนเฉยเลย แล้วเพื่อนบอกว่ามันสำคัญมากนะ ระวังจะไม่มีตาไว้อ่านหนังสือตอนแก่ เราก็ถอดออก จนกระทั่งมีพี่สไตล์ลิสต์เรียกไปแคสติ้งแล้วบอกว่าถ้าใส่คอนแทคเลนส์มาอีกไม่ให้เดิน ก็ถอดออก เค้าบอกว่าตาเราสวยเพราะว่าไม่ใส่คอนแทคเลนส์นี่แหละ เราก็ฟัง มองกระจก ก็กูสวยแบบเนี้ย ถอดออกก็ทำงานได้หนิ ตาเขนิดนึง เพื่อนอิตาเลี่ยนบอกว่าเค้าเรียกว่าวีนัสอายส์ แล้วเค้าบอกรู้ไหมใครตาเหมือนเธอ Kate Moss นะ หลังจากนั้นเราไม่อายแล้ว ความมั่นใจมันมาเลย ถ้าคุณมีอะไรบนหน้าแล้วเป็นเอกลักษณ์กว่าคนอื่นต้องภูมิใจสิ สมัยนี้มันคือสิ่งที่คนอื่นเค้าอยากมีกันด้วยซ้ำ ไม่มีใครอยากมีหน้าซ้ำๆ กับคนอื่น เราเลยคิดว่าตาเราเนี่ยแหละที่มันขี้เหร่ที่สุดแต่ก็คือจุดเด่นที่สุดของเรา
#8 ทัศนคติของคนทั่วไปที่ว่า “เพศที่ 3 น่ะง่ายเรื่องบนเตียง
คิดว่าทัศนคติของคนเป็นแบบนั้นจริง แต่ไม่ได้หมายความว่าความจริงมันเป็นแบบนั้น นลินได้ message เยอะมาก เรื่องชวนไป sex date คือแบบว่าพอรู้ว่าเฮ้ยเราเป็นแบบนี้ก็ทำได้เลยหรอ เหมือนชวนไปนอนเลย OK after drink เนี่ย we go have sex เลยนะ พูดตรงๆ เลยนะว่าถ้าฉันบอกว่าฉันเป็นผู้หญิง เธอจะ treat ฉันดีกว่านี้ไหมวะ ซึ่งเราก็เคยลองไม่บอกว่าเราเป็น สรุปคือ treat ดีมากเลย มาส่งหน้าบ้านแต่ไม่ขึ้นมาบนห้อง หรือไม่พูดจาหยาบคาย ไม่ชวน ไม่อะไรเลย นี่คือความแตกต่างค่ะ
ทัศนคติของคนมองเรื่องเซ็กส์กับเพศเราเป็นของคู่กัน ชวนเราไปต้องได้ฟันเรา แต่ถามว่าเพศอื่นมีไหม มีเหมือนกันค่ะ แต่ของเรามันอาจจะรุนแรงกว่าตรงที่เขาคิดว่าเรา looking for sex ไปซะหมด แต่ผู้ชายก็ looking for sex ได้ปะวะ ผู้หญิงก็ looking for sex ได้เหมือนกัน ทุกคนมันฟรีหมดแหละถ้าโสดก็ enjoy ก็ have fun ได้เป็นเรื่องปกติ แล้วมันก็น่าจะปกติมากสำหรับยุค 2018 ยุคโซเชี่ยล ยุคอินเทอร์เน็ต ยุคแอปพลิเคชั่น เรื่องธรรมดามาก
#9 ความรัก – ครอบครัว – ลูก
ขอแค่คลิกกัน อยู่ด้วยแล้วมีความสุข รับความอาร์ท ความโลกส่วนตัวนิดๆ หน่อยๆ ของเราได้ ไม่ได้มองที่ภายนอกเลย เรารู้เลยว่าทำไมคนสวยถึงมีสามีไม่หล่อได้ ที่เราเคยคิดว่าไม่เห็นเหมาะกันเลย ตอนนี้เราเข้าใจแล้วว่าสเป็คผู้ชายในฝันมันไม่มีอยู่จริงหรอก มันมีแค่ว่าท้ายที่สุดแล้วใครอยู่กับเราแล้วเรามีความสุข แต่ถึงเจอคนที่ใช่แล้วต้องคบแบบ long distance ปุ๊บ ยากละ มีคนเยอะแยะเลยที่เราคิดว่าคนนี้แม่งเราหยุดชีวิตได้เลย แต่กลับกลายเป็นว่าระยะทางมันทำให้เราคบกันไม่ได้
แต่นลินเป็นคนชอบ relationship นะ อยากมีสามีแต่งงานจริงๆ จังๆ คิดว่าในอนาคตถ้าเรามีสามีแล้วอยู่ด้วยกันก็อยากมีลูกค่ะ อยากทำให้ชีวิตลูกดีกว่าเรา อยากส่งเสริมและสนับสนุนทุกอย่างที่ลูกเราอยากทำ อยากเป็น หรือแม้กระทั่งถ้าลูกเราเกิดเป็นกะเทย เกย์ เลสเบี้ยนก็จะไม่ห้าม ก็จะคิดว่าจะคุยกับสามีแล้วรับเด็กที่พ่อแม่เค้าไม่อยู่แล้วมาเลี้ยงไหม หรือเด็กที่เค้าต้องการโอกาสจริงๆ และบอกเค้าว่าถึงเราจะไม่ใช่พ่อแม่ แต่เราอยากหยิบยื่นโอกาสให้ เพราะเรามีโอกาสแล้ว เรามีที่ยืนในสังคม มีเงินแล้ว ก็พร้อมที่จะ support ใครซักคนที่เค้าไม่มีค่ะ อันนี้คือสิ่งที่เราวางแผนชีวิตไว้อย่างหนึ่ง ครอบครัวที่สมบูรณ์ไม่ได้อยู่ที่เพศของคนเป็นพ่อแม่ แต่อยู่ที่บทบาทหน้าที่ที่จะดูแลลูกมากกว่า นลินคิดว่าเด็กเขาเข้าใจมากขึ้นในจุดนี้นะ
#10 ความภูมิใจสูงสุดของชีวิตนลิน
ก็น่าจะเป็นผลงานที่ถูกหยิบยื่นมาจากผู้ใหญ่หลายๆ คนที่ให้โอกาสนลินนะคะ ตั้งแต่งานถ่าย Elle men ที่มีคนมาชอบลุคของเรา ตอนถ่ายผมยาวตรงสีดำ ก็สะกิดมาว่าคนนี้ใคร ซึ่งตอนนั้นเราตัดผมแล้ว เป็นผมสั้นหยิกๆ เค้ากลับชอบกว่าเดิม ก็เลยเรียกเราไปทำแคมเปญก่อน คือแคมเปญกระเป๋า Viera ตอนนั้นก็โคตรภูมิใจแล้ว และเราก็ไม่ได้คิดว่าจะมีการต่อยอดไปไกลกว่านั้น จนได้ทำแคมเปญ Chaps แบรนด์ที่ดังไปทั่วประเทศไทย คือเราไปอยู่ทุกที่เลย เพื่อนแท็กมาทุกวัน เจอมึงที่นู่นนี่นั่น ซึ่ง CPS Chaps เขาก็รู้ว่าเราเป็นนะ แต่เขาก็ Say Yes ขอบคุณจริงๆ ว่าบริษัทใหญ่ขนาดนี้ กล้าเสี่ยงไม่เพลย์เซฟเลย แล้วแคมเปญนั้นก็เป็นตัวเองเลย กรั้นซ์ๆ หน่อย ต่อไปก็ได้ทำแคมเปญ BOYY อันนั้นน่าจะแบบที่สุดแล้ว ได้เห็นรูปตัวเองขึ้น billboard ใหญ่มากที่เกษรพลาซ่า ภูมิใจที่สุด และมันก็ทำให้เรามีวันนี้
แต่อยากบอกว่าความภูมิใจจริงๆ ของเราเลยก็คือ เราได้เป็นนางแบบ แค่นั้นเอง พูดตามตรงก่อนหน้านั้นนลินก็ยังหลงทาง เดี๋ยวเดินแบบ เดี๋ยวถ่าย beauty มันก็ภูมิใจ แต่เราจัดระเบียบชีวิตตัวเองไม่ได้เลย แต่ตอนนี้เราชัดแล้วว่าเป็นนางแบบจริงจัง เข้าไปโลกแฟชั่นเลย
ตอนนี้นลินกำลังจะไปแคสติ้งกับ Vivian Westwood แบรนด์ระดับโลก เราคิดว่ามันก็ยากหวะ แต่ทุกคนช่วยกันเยอะมากเกี่ยวกับเรื่อง visa ทักกันมาเยอะมากว่านลินเธอต้องไป คือ casting director เค้าติดต่อมาทาง Instagram ก็เห็นคาแร็คเตอร์เรา เราเป็นคนชอบแต่งตัวมาก แล้วแต่งตัวแบบจัดจ้านเลยทีเดียวแหละ ทั้งกลางวันและกลางคืน บางทีก็ weird แปลกเลย แต่นลินไม่ค่อยลงรูปนะ เพราะเราจะเป็นคนซีเรียสกับ Instagram มาก casting เค้าจะเห็นว่าเราเป็นคนยังไง คาแร็คเตอร์ได้ไหม จาก Instagram นี่แหละ