Type to search

Hang out & Travel Lifestyle

7 American Road Trips เส้นทางข้ามทวีป ขับรถตะลุยอเมริกาแบบครบรส

Share

ความใฝ่ฝันของคนเราก็มีอยู่ไม่กี่อย่าง หนึ่งในนั้นก็คงจะหนีไม่พ้นการเดินทางไปเที่ยวในที่ไกล ๆ ได้ค้นพบอะไรใหม่ ๆ เป็นเหมือนการเติมพลังให้กับชีวิต และหนึ่งในเส้นทางที่ต้องไปให้ได้ ก็คงหนีไม่พ้นประเทศแห่งเสรีภาพทุกตารางนิ้วอย่าง “สหรัฐอเมริกา” กับ 7 เส้นทาง American Road Trips ขับรถข้ามทวีปอเมริกา ที่เราคัดมาแล้วว่าได้ครบทุกรสชาติแน่นอน

 #1 Route 66 

ถ้าพูดถึง American Road Trip หนึ่งในชื่อแรกที่หลายคนนึกถึงก็คงหนีไม่พ้น “Route 66” เส้นทางสายประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาที่กินระยะทางทั้งหมด 3,940 กิโลเมตร หรือ 2,448 ไมล์ โดยตัดผ่านถึง 8 รัฐสำคัญจาก East Coast มายัง West Coast

เริ่มต้นที่ Chicago เมืองอันดับ 3 ของอเมริกากับตึกราและผังเมืองสวยงามขึ้นชื่อแห่งรัฐ Illinois แล้วขับผ่าน Missouri, Kansas และ Oklahoma สู่ Central America สัมผัสกลิ่นอายเมืองเก่า โรดิโอ และคาวบอยที่เมือง Amarillo รัฐ Texas ที่รับการขนานนามว่า “Gate Way to The Great Southwest” พร้อมชม Cadillac Ranch สุสานรถคาดิลแลคอันเลื่องชื่อ

แวะพักสักคืนที่ Hotel El Rancho โรงแรมเก่าแก่ของเมือง Gallup รัฐ New Mexico ในราคาคืนละ $100 จากนั้นขับต่ออีกหน่อยก็จะเข้ารัฐแห่งความร้อนระอุอย่าง Arizona ซึ่งคุณสามารถแคมป์ปิ้งที่ Coconino National Forest ใกล้กับเมือง Flagstaff

และถ้าคุณมีเวลาเหลือ ก็สามารถแวะไปเที่ยว Grand Canyon ที่ตั้งอยู่ตอนกลางของรัฐได้ ซึ่งถ้าคุณตัดสินใจใช้เส้นทางนี้แล้วก็ Why not? ลองขับต่อไปอีกนิดก็จะผ่านรัฐ Nevada ด้วย ซึ่งจุดนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Las Vegas เมืองแห่งมนต์เสน่ห์แสงสียามค่ำคืนและที่ตั้งของบ่อนพนันทำเงินมหาศาล ซึ่งหลัก ๆ แล้วจะตั้งอยู่ที่ The Strip ถนนเส้นหลักใจกลางเมือง

และ Route 66 จะสิ้นสุดลงที่ Santa Monica เมือง Los Angeles รัฐ California เมืองแห่งเสรีภาพที่รวมไว้ซึ่งวัฒนธรรมและที่เที่ยวดัง ๆ อันเป็นไฮไลท์ของสหรัฐอเมริกา คุณสามารถเดินทอดน่องชมพระอาทิตย์ตกดินริมหาด ขับรถข้ามสะพานแดง Golden Gate Bridge ชมบ้านคนทรงตุ๊กตาอันเป็นเอกลักษณ์ หรือจะหาเวลาไปตามฝัน California Dreams กันที่ Hollywood ก็ตามแต่จะชอบเลยครับ

 #2 Pacific Coast Highway 1, California 

เส้นทางเลียบชายฝั่งทะเลตะวันตกจากเหนือสู่ใต้สุดของมลรัฐแคลิฟอร์เนีย เริ่มต้นจาก San Francisco “City by the Bay” สู่เส้นทางประวัติศาสตร์เมือง Monterey เยี่ยมชมอาณานิคมศิลปะของเมือง Carmel ขับรถตามไหล่ทางไปยัง Big Sur ที่ ๆ คุณจะเห็นวิวภูเขาและหินผาลาดลงไปในมหาสมุทรแปซิฟิก

แวะชม Pfeiffer Big Sur State Park เล่นน้ำและถ่ายรูปกับเหล่า Elephant Seal บนชายหาด แวะพักสักคืนแล้วกลับขึ้นรถ ขับลงใต้เข้าชม Hearst Castle คฤหาสพักตากอากาศสไตล์เมดิเตอร์เตเนียนและที่สะสมงานศิลปะชั้นเลิศ ระหว่างทางไปอ่าว Morro Bay ชมข้างทางที่เต็มไปด้วยทิวทัศน์ของเนินเขาที่เรียงรายไปด้วยต้นโอ๊ก

แล้วเดินทางเข้าสู่ Santa Barbara ที่อยู่ของหาด Malibu อันเลื่องชื่อ หรือจะเลยไปชมพระอาทิตย์ตกดินที่หาด Long Beach, Santa Monica ก็ได้ แวะ Los Angeles สักวัน แล้วไปสิ้นสุดที่ San Diego เมืองแห่งแสงสี

 #3 Yellowstone National Park 

ถ้าจุดมุ่งหมายของคุณคือการใกล้ชิดธรรมชาติให้ครบทุกรูปแบบแล้วล่ะก็ เราการันตีเลยว่า Yellowstone National Park คือจุดหมายที่คุณต้องไปเยือนให้ได้แน่นอน อุทยานแห่งชาติแรกของอเมริกาแห่งนี้ สร้างขึ้นในปี 1872 กินพื้นที่กว่า 8,991 ตารางกิโลเมตร คลอบคลุมรัฐ Wyoming, Montana และ Idaho เพื่อรักษาระบบนิเวศน์และเป็นบ้านให้กับเหล่าสัตว์สงวน

ไม่ว่าจะเป็นควายอเมริกันไบซันที่สามารถพบเห็นได้ทั่วไป หมีกริซลี่ กวางมูส และกวางเอลค์สามารถพบได้ใน Hayden Valley ส่วนสุนัขป่าและไคโอทสามารถได้มากที่สุดที่ Llamar Valley หรือจะใช้เส้นทาง Dunraven Pass เพื่อสัมผัสกับฝูงแพะป่า หมีดำ วูฟเวอร์รีน และแกะเขาใหญ่

นอกจากนี้ยังมีความมหัศจรรย์ของธรรมชาติอีกมากมายทั้งธารน้ำ น้ำตก หรือเทือกเขา แต่ถ้าพูดถึงสถานที่ยอดนิยมแล้วก็หนีไม่พ้นบ่อน้ำพุร้อน เช่น Mammoth Hot Spring ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของอุทยาน พร้อมชั้นหิน Travetine สีขาว, The Great Fountain Geyser น้ำพุร้อนขนาดใหญ่ที่จะปะทุไอร้อนขึ้นมาทุก 9-15 ชั่วโมง หนึ่งในสตอปที่สวยที่สุดของอุทยาน และเป็นเพียงไม่กี่ที่ที่คุณสามารถเข้าถึงได้ด้วยการขับรถอีกด้วย

Grand Prismatic Spring บ่อน้ำพุร้อนที่ใหญ่ที่สุดของอเมริกาและอันดับ 3 ของโลก และ The Old Faithful geyser บ่อน้ำพุร้อนที่ดังที่สุดในอุทยานด้วยการปะทุถึง 17 ครั้งต่อวัน

 #4 The Great Northern Route 

อีกหนึ่ง road trip ข้ามทวีปทางตอนเหนือ เริ่มต้นจากสุดขอบชายฝั่งตะวันตกเมือง Seattle รัฐ Washington สู่ Maine ในฝั่งตะวันออก (หรือจะเดินทางกลับฝั่งกันก็ได้ไม่ว่ากัน) โดยใช้ถนน US-2 ผ่านรัฐ Idaho และ Montana ที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่าได้อย่างครบถ้วน ผ่านการตั้งอยู่ของ National Park และ State Park มากมาย

จากนั้นมุ่งหน้าสู่ความหนาวเย็นของรัฐ North Dakota และ Minnesota ขับผ่าน Upper Peninsula ของรัฐ Wisconsin และ Michigan อย่าลืมเตรียมพาสปอร์ตให้พร้อมก่อนเส้นทางจะพาคุณข้ามฝั่งไปยัง Ontario ประเทศแคนาดา แล้วกลับเข้าอเมริกาอีกครั้งที่ Lake Champlain ในรัฐ New York ตอนบน

ก่อนจะเข้าสู่ความเขียวขจี ทิวทัศน์ของผืนป่าและภูเขาในรัฐ Vermont และ New Hampshire ก่อนจะเห็นมหาสมุทรแอทแลนติกหลังจากเข้าสู่ Maine โดยสวัสดิภาพแล้ว

 #5 Atlantic Coastal Drive 

สลับมายังมหาสมุทรแอตแลนติกกันบ้าง กับการเดินทางเลียบชายฝั่งแบบ “ครบรส” ที่มีทั้งความเจริญของเมืองกรุง สลับกับทิวทัศน์ธรรมชาติจรรโลงใจ ซึ่งเส้นทางนี้จะนำคุณไปสู่เมืองประวัติศาสตร์ในศตวรรษที่ 17 เช่น Plymouth ในรัฐ Massachusetts และ Newport ใน Rhode Island

ผ่านความเร่งรีบและคึกคักของมหานครนิวยอร์กลงไปยังอ่าว Chesapeake Bay ของรัฐ Maryland ไปยัง Virginia Beach และ North Outer Banks จากนั้นคุณจะผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่เงียบสงบแห่งเมือง Savannah รัฐ Georgia

ลัดเลาะลงไปยัง St. Augustine แห่งรัฐ Florida เมืองที่เก่าแก่ที่สุดของอเมริกาเพื่อล่องเรือไปตามชายฝั่ง Space Coast ไปยัง Miami Beach จบทริปด้วยบรรยากาศแสนคึกคักใน Key West ซึ่งคุณสามารถเลือกใช้เส้นทาง I-95 จาก Boston ไปยัง Miami ได้เลย

 #6 Hana Highway, Hawaii 

หนีออกจากชีวิตแสนจำเจสู่เส้นทางเกาะสวรรค์แดนใต้ “Hana Highway” เลียบชายฝั่งทะเลตะวันออกเฉียงเหนือของ Maui ผ่านรูท 36 และ 360 เส้นทางที่ต้องพกสติแบบเต็มร้อยพร้อมลุยทั้ง 600 โค้ง และเตรียมกล้องไปถ่ายภาพวิวที่สวยจนลืมหายใจ!

ตั้งแต่เริ่มต้นเส้นทางคุณจะเจอทั้งภูเขา ชายหาด และน้ำตกอีกมากมาย ซึ่งไฮไลท์ที่เราจะแนะนำก็คือน้ำตก Twin Falls ที่มาพร้อมเส้นทางเดินป่าระยะสั้น แถมคุณยังจะได้แวะซื้อผลไม้สด ๆ รสหวานฉ่ำตามแผงลอยข้างทางอีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเอกลักษณ์ของฮาวายเลยทีเดียว!

จากนั้นแวะถ่ายรูปวิวทะเลจากมุมสูงแซมด้วยดอกไม้ป่าสีสันสดใสที่ Garden of Eden Arboretum และที่พลาดไม่ได้เลยก่อนจะถึง Hana ก็คือ Black Sand Beach หาดทรายดำอันเลื่องชื่อที่ Waianapanapa state park

สัมผัสประสบการณ์เล่นเซิร์ฟที่ Hamoa Beach และแวะสุดท้ายที่ Seven Sacred Pools ที่ ‘Ohe’o แห่ง Haleakala National Park โดดน้ำใสไหลเย็นจากชั้นน้ำตก และชมจุดยอดของภูเขา Haleakala เรียกได้ว่าเป็นเส้นทางสำหรับคนรักธรรมชาติของจริง!

 

 #7 Hatcher’s Pass Scenic Drive, Alaska 

“Hatcher’s Pass” เส้นทางที่ตั้งอยู่ในเทือกเขา Talkeetna ระหว่างเมือง Willow และ Palmer เป็นที่นิยมแม้แต่ในหมู่คนท้องถิ่นเอง ขึ้นชื่อเรื่องการขับรถชมทัศนียภาพและการพักผ่อน ซึ่งถ้าคุณต้องการขับชมทิวทัศน์จากบนรถอย่างเดียวแล้ว Hatcher’s Pass ถือเป็น road trip สั้น ๆ ด้วยระยะทางเพียง 50.7 ไมล์ หรือใช้เวลาเพียงแค่ 3 ชั่วโมง (ไปกลับ) จาก Anchorage เมืองหลวงของรัฐ Alaska

ถ้าคุณอยากสัมผัสกับหิมะแรกแห่งฤดูหนาวอลาสก้า ทางรัฐยังคงรักษาเส้นทางสู่ Independence Bowl ไว้ เพื่อให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงภูเขาหิมะได้ง่ายขึ้น หรือจะจอดรถเพื่อไฮค์กิ้งบนเทือกเขาอัลไพน์ที่เต็มไปด้วยดอกไม้ป่า นก ptarmigan ที่ผลัดขนเป็นสีขาว แวะเล่นสกีในหิมะหนาที่เพิ่งตกใหม่

แต่ถ้าคุณเลือกเดินทางในฤดูร้อนลองขับไปให้สุดทางของ Hatcher’s Pass และเยี่ยมชมอุทยานรัฐ Independence Mine Historical State Park ตรงนั้นจะมีกิจกรรมไฮค์กิ้ง ชมเหมืองทองเก่าและตึกไม้สีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ เก็บบลูเบอร์รี่ หรือจะพักปิคนิคทานแบบชิลๆ ที่ความสูง 4,000 ฟุต พร้อมกับชมเหล่านักโดดร่ม เหยี่ยว อินทรีสีทอง และตัวมาร์ม็อต และถ้าคุณเลือกวันที่อากาศดีพอ คุณจะเห็นวิวราคาหลักล้านของ Chugach Range, Alaska Range และ Palmer’s Pioneer Peak อีกด้วย!

จบไปแล้วกับ 7 เส้นทางสำคัญ American Road Trip ขับรถเที่ยวข้ามทวีปอเมริกาที่ไม่ชิลนัก แต่เราคัดมาแล้วว่าได้ครบทุกรสชาติ คุ้มค่าแน่นอนกับวัฒนธรรม ธรรมชาติ ภูมิประเทศที่แตกต่าง วิวทิวทัศน์ และเสรีภาพทุกตารางนิ้วของประเทศนี้


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com


บทความนี้เรียบเรียงขึ้นโดย ทีมงาน MOVER

mover.in.th@gmail.com
Tags